ครม.ต่อสัญญา ไทยแทงค์ บริหารท่าเทียบเรือ และคลังสินค้าเหลว มาบตาพุดต่ออีก 30 ปี หลังกรรมการเลือกสรรมีมติไม่เปิดประมูล กนอ.นัดเอกชนลงนามสัญญาวันศุกร์นี้ เปิดเผยผลตอบแทน ได้รับตลอด 30 ปีที่ 2.02 หมื่นล้าน หรือปีละ 676 ล้านบาท
นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองผู้ประกาศประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยออกมาว่าที่ประชุมแผนกรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเห็นด้วยตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลของการเลือกสรรเอกชน และ เงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะ
เพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว (ร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ) เพื่อให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ กับเอกชน ผู้ผ่านการพิจารณาคำแนะนำร่วมลงทุนในโครงการนี้ต่อไป
ดังนี้ กนอ.มีการระบุพิธีการลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (บจก. สำหรับการต่อสัญญาสัมปทานการบริหารโครงการบริเวณท่าเรือมาบตาพุดต่อไปอีก 30 ปี ในวันศุกร์ที่ 9 เดือนธันวาคมนี้
สำหรับเพื่อการต่อสัญญาให้ บจก.ไทยแทงค์ ฯ เป็นผู้รับสัมปทานในโครงการนี้ต่อไปอีก 30 ปี
นั้นเพราะเหตุว่าคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ได้มีมติ เห็นชอบในหลักการการร่วมลงทุน โครงการบริหารจัดการ ท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ของกนอ. ในรูปแบบการให้เอกชนบริหารจัดการ
โดยให้สิทธิสัมปทาน ระยะเวลาโครงการ 30 ปี หลังจากวันที่สิ้นสุดสัญญาในฐานะที่เป็นโครงการใหม่ ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พุทธศักราช 2556 ที่มีผลบังคับใช้ในเวลานั้น
ต่อมากระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเลือกสรรเอกชน ร่วมลงทุนโครงการบริหารจัดการ ท่าเทียบเรือสาธารณะ เพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ซึ่งเป็นการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พุทธศักราช 2562
โดยที่ในแนวทางการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ คณะกรรมการเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ มีความเห็นว่าไม่ควรใช้วิธีการเลือกสรร โดย วิธีประมูล
เพราะเหตุว่าหากมีเอกชนผู้ร่วมลงทุนรายใหม่เข้ามาดำเนินโครงการฯ แทนผู้รับสัมปทานรายเดิมจะมีผลให้การดำเนินโครงการฯ ขาดความเกี่ยวเนื่อง ส่งผลเสียต่อผลดีสาธารณะ และทำให้ภาครัฐ สูญเสียผลดีมากยิ่งกว่ากรณีให้เอกชนรายเดินปฏิบัติการต่อไป
โดยมีการคำนวณว่าหากมีเอกชนรายใหม่มาดำเนินการควรจะมีแนวทางการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเดิม การประเมินผลพวงทางสิ่งแวดล้อมใหม่
ซึ่งอาจจะเป็นผลให้กิจการไม่สามารถที่จะปฏิบัติการได้เป็นระยะเวลาโดยประมาณ 5 ปี คิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจ และ ต่อประโยชน์สาธารณะ
คิดเป็นมูลค่าความเสื่อมโทรม 182,440 ล้านบาทต่อปี แต่หากเจรจา กับ ผู้ประกอบกิจการรายเดิมให้ปฏิบัติการตลอด จะเกิดผลดีทางเศรษฐกิจมากยิ่งกว่ากรณีที่มีรายใหม่เข้ามาบริหารงาน
คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ก็เลยได้ปฏิบัติการตามมาตรา 34 ที่พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พุทธศักราช 2562
โดยเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และ เอกชน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564
เพื่อให้ความเห็นชอบให้ใช้วิธีการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโดยไม่ใช้วิธีประมูล และได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ ครม.อนุมัติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 11 เดือนมกราคม 2565 ด้วย
ภายหลังจากที่ ครม.ได้มีมติดังกล่าวข้างต้น กนอ. และ คณะกรรมการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้ปฏิบัติการเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ จนสำเร็จแล้ว และ จัดทำร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว
โดย กนอ. และ คณะกรรมการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้นำข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เดือนมกราคม 2565 มาใช้ประกอบการดำเนินงานด้วย ซึ่งรวมถึงการกำหนดเงื่อนไขที่สำคัญเอาไว้ภายในสัญญาร่วมลงทุนฯ
หลังจากนั้น กนอ. ได้ส่งร่างสัญญาร่วมทุนฯ ให้ที่ทำการอัยการสูงสุดตรวจไตร่ตรอง ซึ่ง กนอ. แจ้งว่า
กนอ. และคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้แก้ไขร่างสัญญาตามข้อคิดเห็นของที่ทำการอัยการสูงสุดด้วยแล้ว และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีความเห็นถูกใจต่อผลของการเลือกสรรเอกชน ร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ และ เงื่อนไขสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุนดังกล่าว
ดังนี้ กนอ. การันตีว่า สำหรับการสนทนาเงื่อนไขสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ กับเอกชนคู่สัญญา กนอ. และ คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้ปฏิบัติการตามกรอบของสาระสำคัญของโครงการฯ ที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนกำหนด
โดย กนอ. ประมาณการว่าจะได้รับผลตอบแทนจากค่าให้สิทธิการร่วมลงทุน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าธรรมเนียมสินค้าผ่านท่า ส่วนแบ่งรายได้จากการดำเนินโครงการฯ (ในอัตราไม่น้อยกว่า 5%) และ ค่าบริการสาธารณูปโภค รวมตลอดเวลาดำเนินโครงการ 30 ปี คิดเป็นมูลค่า 20,236.68 ล้านบาท หรือพอๆกับปีละ 676.26 ล้านบาท
สำหรับพื้นที่ของโครงการ – พื้นที่ของโครงการโดยประมาณ 182.1 ไร่ มีพื้นที่เก็บ ส่งจ่าย ทดสอบ ผสมเคมีภัณฑ์ จำพวกเหลว และ คลังเก็บสินค้า (I-30) 63 ตารางวา พื้นที่บริเวณคลังเก็บสินค้า
จุดถ่ายสินค้าเหลว แนววางท่อส่ง และ ท่าเทียบเรือขนถ่ายสินค้าเหลว (1-26) 1 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา พื้นที่รอบๆแนวท่อส่ง Pipe Bridge 1 งาน 77 ตารางวา
อาคารสิ่งปลูกสร้าง ประกอบด้วย
- อาคารสำนักงาน มีพื้นที่ประมาณ 2,138 ตารางเมตร อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย 6 จุด มีพื้นที่ประมาณ 880 ตารางเมตร
- อาคารซ่อมบำรุง อาคารเก็บวัสดุ และ อื่น ๆ มีพื้นที่ประมาณ1,698 ตารางเมตร
- หลักยึดเรือ Mooring Dolphin 1 จุด มีพื้นที่ประมาณ 875 ตารางเมตร
- หลักกันกระแทก Berthing Dolphin 14 จุด มีพื้นที่ประมาณ 971.16 ตารางเมตร
- ลานหน้าท่า 5 จุด มีพื้นที่ประมาณ 2,396 ตารางเมตร
- สะพานเหล็กสำหรับคนเดิน 25 จุด มีพื้นที่ประมาณ 588.1 ตารางเมตร
- สะพานคอนกรีตเชื่อมต่อทางเข้าท่าเทียบเรือ 4 ท่า มีพื้นที่ประมาณ 4,563 ตารางเมตร
- ถนนลาดยาง รับน้ำหนักมาตรฐาน มีพื้นที่ประมาณ 38,692 ตารางเมตร
- เครื่องจักรอุปกรณ์ ประกอบด้วย ถังเก็บสารเคมีหลากชนิด (ถังกักเก็บสินค้าเหลว) จำนวน 102 ถัง และ ถังกักเก็บของเสีย จำนวน 5 ถัง