ดัชนีหุ้น ไทยวันที่ 15 พฤศจิกายน65 ปิดที่ 1,629.38 จุด บวก 6.00 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 61,702.54 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิ 437.79 ล้านบาท หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 33.50 บาท ลบ 0.50 บาท, PTTEP ปิด 184.50 บาท ลบ 4 บาท, KBANK ปิด 144.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, AOT ปิด 75.75 บาท บวก 0.50 บาท, CPF ปิด 24.40 บาท ลบ 0.60 บาท
หุ้นไทยปรับขึ้น รับแรงซื้อกลับในหุ้น Big Cap ที่ราคาดิ่งลงก่อนหน้าโดยยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มท่องเที่ยว ขณะที่ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นมาช่วยหนุน Fund Flow ไหลเข้า
บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์น่าสนใจ ระบุตลาดจีนกลับมาฟื้นตัวอีกทีหลังมีมาตรการผ่อนคลายต่างๆที่ชี้ไปในทางเดียวกันว่าจะมีการตระเตรียมเปิดประเทศ โดยเริ่มจากการเปิดอณาเขตของทั้งประเทศฮ่องกงและไต้หวัน ถึงแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะกลับมาเร่งตัวสูงมากขึ้นในช่วงนี้ แต่จีนก็ยังมีความเพียรพยายามสำหรับในการผ่อนคลายอยู่ โดยจะเน้นจัดการในวงแคบแทนที่จะ lockdown ในวงกว้าง
รวมทั้งมีต้นสายปลายเหตุบวกจากการออกมาตรการ 16 ข้อ ที่ออกมาเกื้อหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อจัดเตรียมเปิดประเทศถัดไปในไตรมาส 2 ปีถัดไป
สำหรับลู่ทางสำหรับในการลงทุน สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น คิดว่า การทยอยผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดของจีน สร้างความหวังต่อแนวโน้มการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในปีถัดไป คาดว่าจะมองเห็นความชัดเจนใน Q2/2023 หลังการประชุม NPC ในเดือน มี.ค. ผ่านไปแล้ว หุ้นที่คาดว่าจะได้คุณประโยชน์จากจีนเปิดประเทศแนะนำ CPALL (เป้าพื้นฐาน 76 บาท), SCGP (59 บาท)
ส่วนกลุ่มกองทุนจีน การลดความเคร่งครัดของมาตรการ COVID และการกระตุ้นภาคอสังหาฯคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการยุติขาลงของเศรษฐกิจจีน แต่การเติบโตที่ลดลง, สงครามการค้าและการระบาดที่เร่งตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น
ดัชนีหุ้น ไทยปิดบวก 6 จุด
หลังจากตลาดรับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยหลักการของธนาคาเกลื่อนกลาดลางสหรัฐ (เฟด) น้อยลง จากการอธิบายของรองประธานเฟด ถึงแม้ในตลาดรองยังพบเจอกับแรงกดดันของการจำกัดการซื้อขายหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งจะต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสดแค่นั้น ส่งผลให้ ณ เวลา 17.01 น. ดัชนีปิดที่ 1,629.38 จุด เพิ่มขึ้น 6 จุด หรือ 0.37% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 61,702.54 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 610.94 จุด ต่ำลง 5.19 จุด หรือ 0.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,893.42 ล้านบาท
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก พูดว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีแรงกดดันจากปัญหากรณีหุ้นมอร์ ประกอบกับนักลงทุน ยังติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะสิ้นสุดกลางสัปดาห์นี้ ก็เลยคาดการณ์การเคลื่อนไหวในกรอบ 1,610-1,650 จุด ด้านต้นสายปลายเหตุที่จะต้องจับตาในประเทศ เช่น วันที่ 18-19 พฤศจิกายน ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค ปี 2565 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และส่วนประกอบยานยนต์ กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า
หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ปตท. ปิดที่ 33.50 บาท ลดลง -0.50 บาท
2.ปตท.สผ. ปิดที่ 184.50 บาท ลดลง -4.00 บาท
3.ธ.กสิกรไทย ปิดที่ 144.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
4.เอโอที ปิดที่ 75.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
5.ซีพีเอฟ ปิดที่ 24.40 บาท ลดลง -0.60 บาท
หุ้นไทยปิดเช้าลบ 8.02 จุด ขายทำกำไรหลังจบงบประมาณ Q3/65 กลับมากังวลโควิดในจีน-รอคืบหน้าหุ้น MORE
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บล.ดาโอ (เมืองไทย) พูดว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าที่ผ่านปรับตัวลง จากแรงขายทำกำไรหนาแน่นในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากการแจ้งผลประกอบการออกมาแล้ว โดยยิ่งไปกว่านั้นแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการในช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา
นอกเหนือจากนั้น นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในประเทศจีน ในขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ในสหภาพยุโรป หลังจากที่มีมิสไซล์ 2 ลูกตกลงที่ชายแดนประเทศโปแลนด์ นอกเหนือจากนั้นยังคงจะต้องติดตามการประกาศความคืบหน้ากรณีหุ้น MORE ว่าจะออกมาอย่างไรบ้าง ซึ่งจะส่งผลต่อ Sentiment การลงทุนของตลาด ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียช่วงรุ่งเช้าที่ผ่านมาส่วนมากปรับตัวลงอย่างเดียวกัน
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายคาดว่าคาดว่าดัชนียังเคลื่อนในแดนลบต่อเนื่องจากช่วงรุ่งเช้า โดยให้แนวต้าน 1,630 จุด แนวรับ 1,615 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
- PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,751.26 ล้านบาท ปิดที่ 188.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
- GULF มูลค่าการซื้อขาย 1,391.08 ล้านบาท ปิดที่ 50.25 บาท ลดลง 1.75 บาท
- BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,202.90 ล้านบาท ปิดที่ 30.50 บาท ลดลง 0.75 บาท
- PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,133.91 ล้านบาท ปิดที่ 33.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
- EA มูลค่าการซื้อขาย 1,129.32 ล้านบาท ปิดที่ 95.25 บาท ลดลง 3.25 บาท