เสียงต่อต้านมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” สร้างความประหลาดใจให้กับสังคมโลก เศรษฐกิจจีน แม้ว่าจะไม่มีผลต่อรัฐบาลจีนในเป็นช่วงที่ “สี จิ้นผิง” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีจีนสมัยที่ 3 แต่ทำให้หลายฝ่ายจะต้องเหลียวกลับมามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในจีน รวมทั้งแนวทางเศรษฐกิจจีนหลังจากนี้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคบคุมโควิด-19
ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธาน และ เลขาธิการหอการค้าไทยในจีน พูดว่า รัฐบาลจีนปัจจุบันนี้ให้ความสำคัญด้านของสุขภาพของประชากรมากยิ่งกว่าเศรษฐกิจ ด้วยเหตุว่าปริมาณมวลชนในจีนเยอะมาก ซึ่งรัฐบาลจีนเห็นว่าเป็นความเสี่ยงในทีแรกๆยังคงใช้มาตรการคุมโควิด-19 ไม่แรง มีการฉีดซีนที่สร้างมาจากเชื้อตายมาฉีดให้ประชากร และ ใช้มาตรการซี่โรโควิด โดยทีแรกๆเศรษฐกิจเคลื่อนไปได้ และ ภาคการผลิตยังก้าวเดินต่อไปเจริญ โดยอัตราการการเติบโตด้านเศรษฐกิจรวม 2 ปีที่โควิดระบาด เฉลี่ยโต 5% นับว่าเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ดังนี้ ปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีหลัง จีนประสบพบเจอกับปัญหาหลายเรื่อง ด้วยเหตุว่าสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมากมาย จากปัญหาการศึกรัสเซีย และ ยูเครน วิกฤติพลังงาน วิกฤตอาหาร การขัดกันทางการเมือง ประกอบการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศ ปัจจุบันนายสี จิ้น ผิง ก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำเป็นสมัยที่ 3 และ ยังจะต้องรอนายหลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีส่งไม้ต่อให้นายหลี่ เฉียงในเดือน มี.ค.ปีต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวมิติทางการเมืองจึงมีความสำคัญจำเป็นจะต้องควบคุมให้ได้ เพื่อให้การบ้านการเมืองผ่านไปเรียบร้อย ต่อจากนั้นก็จะเริ่มหันมามองดู เศรษฐกิจจีน
แม้กระนั้นในช่วง 2 เดือนหลังปีนี้ จีนเจอการระบาดของโควิดรอบใหม่แพร่ระบาดอย่างเร็ว เศรษฐกิจจีน
แม้จีนจะใช้การตรวจแบบ RT-PCR แต่พบว่ามีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการมีสัดส่วนสูงมาก สถิติการติดเชื้อในจีนพุ่งสูงมากขึ้นโดยตลอดและกระจายตัวในหัวเมืองต่างๆซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจจีน ประกอบกับรัฐบาลท้องถิ่นที่รับแผนการซีโร่โควิดตามแผนการรัฐบาลกลางที่ช่วงหลังเริ่มบรรเทาลง แต่รัฐบาลท้องถิ่นกลับปฏิบัติงานตามแผนการเอาจริงเอาจังเกินขอบเขต อย่างเช่น กักตัว ล็อคดาวน์เมือง ซึ่งชาวจีนกำลังกล่าวกันว่าจะยอมอดตายเพราะเหตุว่าเศรษฐกิจหรือจะยอมตายเพราะเหตุว่าโควิด และ ช่วงหลังเชื้อโควิดไม่ร้ายแรง ถึงกับตาย ถ้าเกิดติดเชื้อก็รักษาตามอาการ
และก็ปัจจุบันก็มีการประท้วงของชาวจีนจากเหตุการณ์ไฟไหม้ร้ายแรงในเขต “ซินเจียง” ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ประกอบการมีกระแสข่าวการแทรกแซงของต่างชาติ เพราะเหตุว่าพบว่าชาวจีนในฮ่องกงมายุยงปลุกปั่นเพื่อให้สื่อตะวันตกนำไปตีข่าวในต่างชาติ ซึ่งการประท้วงไปไกลกว่าแต่มาตรการโควิด แต่เรียกร้องให้ “สี จิ้น ผิง” ลาออก ทำให้รัฐบาลจีนกลุ้มอกกลุ้มใจ และ คนที่ออกมาประท้วงส่วนมากก็เป็นนักศึกษา คนสมัยใหม่ ซึ่งกลัวว่าจะกลายเป็นเทียนอันเหมิน 2
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ออกมาควบคุม ในหลายเมืองการชุมนุมแค่ 1-2 วัน และ จากการตรวจสอบล่าสุดการชุมนุมประท้วงเริ่มน้อยลง”
แต่การประท้วงไปโผล่ในยุโรป และ สหรัฐ สะท้อนว่ามีเครือข่ายเพื่อขยายผลการประท้วงในจีนทั้งเรื่องโควิด และ เป้าหมายที่รัฐบาลจีน
ทั้งนี้รัฐบาลจีนเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการโควิด ไม่ว่าจะเป็นการกักตัวตรวจเชื้อเป็นต้นซึ่งรัฐบาลจีนใช้เงินในเรื่องโควิดมากมายจนเกิดการเปรียบเทียบว่าใช้เหมือนการทำสงครามเช่นเดียวกับรัสเซียและยูเครน
สำหรับเศรษฐกิจของจีน เดิมตั้งเป้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว 5.5 % แต่ผ่านมา 3 ไตรมาสจีดีพีเหลือเพียง 3% และ เหลือเพียง 1 เดือน จีดีพีคงไม่เกิน 4% ทำให้คาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ที่ 3%
ส่วนปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวมากยิ่งกว่า 6% เมื่อรวม 2 ปีเฉลี่ยจะขยายตัวราว 5% ซึ่งเป็นแนวทางตามแผนเศรษฐกิจที่จีนวางอยู่ตามสถานการณ์ในประเทศ แม้กระนั้นเมื่อจีนแปลงหรือส่งไม้ถัดไปยัง “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” การอัดมาตรการเศรษฐกิจหรือการฟื้นเศรษฐกิจจะออกมา เพราะเหตุว่าจีนตั้งมั่นอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ ที่สำคัญในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจีนจะยกเลิกมาตรการซีโร่โควิด หรืออย่างน้อยก็เปิดให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งยังใน และ นอกประเทศ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ
ขณะที่ภาคการผลิตของจีน ส่วนมากได้รับผลกระทบจากโควิด อย่างเช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วน iPhone ที่ระงับการผลิต และ อาจจะก่อให้การส่งมอบ iPhone ล่าช้า ซึ่งก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรการคุมโควิดของจีนจวบจนกระทั่งสถานการณ์จะคลี่คลาย แต่บางโรงงานก็เปลี่ยนแปลงการทำงานโดยให้มีคนงานดำเนินงานไม่เกิน 5% ของทั้งหมดที่เหลือดำเนินงานที่บ้าน
ขณะที่กิจกรรมทางด้านการตลาด อย่างเช่น การแสดงสินค้า Wedding ขอให้เลื่อนไปก่อนบางแห่งก็จะต้องยกเลิก ซึ่งทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก การบริการขนส่งไม่สบาย นำมาซึ่งการทำให้การใช้สอยทั้งห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้เกิดขึ้นในหลายเมืองใหญ่ อาจกระทบเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจมากกว่าการล็อคดาวน์เซี่ยงไฮ้ และ เมืองใกล้กันในแถบปากแม่น้ำแยงซีเกียง
และก็ถ้าเกิดมองดูแง่การลงทุนแล้ว การลงทุนในจีนจะเติบโตอัตราต่ำลง ซึ่งไม่ใช่เพราะเหตุว่าเศรษฐกิจจีนแต่เป็นเพราะเหตุว่าภาคความพร้อมเพรียงของธุรกิจในต่างชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ด้วยเหตุดังกล่าวการขยายการลงทุนของเมืองนอกในจีนอาจเติบโตในอัตราที่ต่ำลง
นอกจากนี้ ในจีนจะมีธุรกิจบางส่วนอาจไม่พอใจหรือไม่สบายใจในการดำเนินมาตรการซีโร่โควิด ที่อาจถอนการลงทุนหรือโยกย้ายแผนการลงทุนที่เดิม โดยอาจกระจายไปประเทศอื่น เช่น เวียดนาม ไทย
“หากประชุม ครม.ในเดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้ทำให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือน เม.ย.-พ.ค.ได้จะเป็นอานิสงค์ต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะเข้ามา”
ส่วนการลงทุนเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้บวกกับการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทยที่ประสบความสำเร็จ โดย “สี จิ้นผิง” เดินทางมาร่วมประชุมก็มีส่งผลทางจิตวิทยาหรือส่งสัญญาณให้นักธุรกิจจีนออกมาลงทุนในประเทศพันธมิตรอย่างไทย ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับตลาดจีนมากขึ้น และ เชื่อว่าหลังจากโควิดหมดจะทำให้ความต้องการสินค้ามีมากขึ้น การท่องเที่ยวกลับมา และ ไทยจะได้รับประโยชน์