Category: ข่าวเศรษฐกิจ

เปิดรายละเอียด แถลงการณ์ประชุม ธนาคารกลางสหรัฐ เดือนก.พ. 2566

ธนาคารกลางสหรัฐ ( เฟด ) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลัง จากการประชุม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ( FOMC ) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ตรงเวลาสหรัฐ โดยกล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้มีสัญญาณระบุ ว่าการใช้จ่าย และการผลิตขยายตัวขึ้นนิดหน่อย

ขณะที่ตัวเลขการจ้างแรงงานปรับตัวขึ้น อย่างหนักแน่น ในตอนหลายเดือนที่ผ่านมา และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงอยู่ในชั้นสูง

การที่ รัสเซีย ใช้ความรุนแรงทหารรุกราน ยูเครน นั้น กำลังมีผลเสียอย่างรุนแรง ต่อทั้งประชาชน และเศรษฐกิจ และกำลังส่งผลให้ความไม่แน่นอนทั้งโลกมากขึ้นอย่างเร็ว ซึ่งคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน มีความสนใจเรื่องความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออย่างมากมาย

ธนาคารกลางสหรัฐ

ธนาคารกลางสหรัฐ คณะกรรมการ กำหนดนโยบายการเงิน พยายามหาทางที่จะบรรลุเป้าหมายการว่าจ้าง

อย่างเต็มศักยภาพ และอัตราเงินเฟ้อ ที่ระดับ 2% ในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือจุดหมายดังกล่าว คณะกรรมการฯ ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มกรอบจุดมุ่งหมายอัตราค่าดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้น 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% และคาดว่า การปรับเพิ่มกรอบจุดหมายอัตราค่าดอกเบี้ยขึ้นอีก ในในภายหน้า

นั้นจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมาย เพื่อการดูแลและรักษาจุดยืนด้านหลักการ ซึ่งก็คือการลดเงินเฟ้อให้กลับสู่วัตถุประสงค์ที่ระดับ 2%

สำหรับในการระบุขนาดของการปรับขึ้นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยในอนาคตนั้น คณะกรรมการฯ จะพินิจถึงการคุมเข้มนโยบายการเงิน ที่ได้ปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอมาแล้วหลายที และ พิจารณาถึงประเด็นที่ว่าการชะลอนโยบายการเงินจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างไรต่อกิจบาปทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งเหตุการณ์ด้านเศรษฐกิจและการคลัง

นอกจากนั้น คณะกรรมการ จะยังคงปรับลดการถือสิทธิ์ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตราสารหนี้สิน ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนำ (MBS) ตามที่ได้อธิบายเอาไว้ในกลยุทธ์ปรับลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟด (Plans for Reducing the Size of the Federal Reserve’s Balance Sheet) ซึ่งมีการประกาศ ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยคณะกรรมการมีความตั้งใจที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อ กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%

ส่วนสำหรับในการประเมินทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการจะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจ ที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ จะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับวิถีทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม ถ้าพบว่ามีความเสี่ยงที่จะก่อให้เฟดไม่อาจจะประสบความสำเร็จต่างๆ ของคณะกรรมการฯ

โดยคณะกรรมการฯ จะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้านสาธารณสุข สภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดัน ด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาเหตุการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ

สำหรับกรรมการเฟด ผู้ที่ออกเสียงเกื้อหนุน การดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ในการประชุมคราวนี้ อย่างเช่น เจอโรม เอช พาวเวล ประธานเฟด, จอห์น ซี วิลเลียมส์ รองประธานเฟด, ไมเคิล เอส บาร์, มิเชล ดับเบิลยู โบว์แมน, ลาเอล เบรนาร์ด, ลิซา ดี คุก, ออสแทน ดี กูลส์บี, แพทริก ฮาร์เกอร์, ฟิลิป เอ็น เจฟเฟอร์สัน, นีล แคชคารี, โลรี เค โลแกน และคริสโตเฟอร์ เจ วอลเลอร์

รายละเอียดแถลงการณ์ประชุม

‘เฟด’ ขึ้น ดอกเบี้ย 0.25% ส่งสัญญาณคุมเงินเฟ้อต่อเนื่อง

ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย นโยบายที่ 0.25% ในวันพุธ นับเป็นการปรับขึ้น ดอกเบี้ย ครั้งแรกปีนี้ เพื่อสกัดความร้อนแรงของภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงสุดในรอบ 40 ปีของสหรัฐฯ ตามรายงานของรอยเตอร์

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของระบบธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติขึ้น ดอกเบี้ย นโยบาย 0.25% ที่ 4.50%-4.75% และเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด

เฟด ยืนยันว่าการเดินหน้าขึ้น ดอกเบี้ย ในกรอบเป้าหมายมีความเหมาะสมต่อการควบคุมเงินเฟ้อ โดยในแถลงการณ์ในวันพุธส่งสัญญาณว่าการขึ้น ดอกเบี้ย ในรอบหน้าอาจอยู่ในระดับ 0.25%

ที่ผ่านมา เฟด หวังเดินหน้าควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่กรอบเป้าหมายที่ 2% โดยที่ไม่นำพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย หรือส่งผลให้อัตราว่างงานในประเทศพุ่งสูงจากระดับ 3.5% ในปัจจุบัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงต่อเนื่องในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา

ในการประชุมครั้งล่าสุดนี้ เฟด ไม่ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ระบุเพียงว่าเศรษฐกิจอเมริกันยังมีการเติบโตพอประมาณ และตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง

โดยฝ่ายกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐฯ ยังคง “ระมัดระวังอย่างมากในด้านความเสี่ยงเงินเฟ้อ” เนื่องจากปัจจัยสงครามยูเครนยังคงผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับโลก

เวอร์ชวลแบงก์ ธนาคารพาณิชย์ นับถอยหลัง "ธนาคารยุคเก่า"

ปัจจุบันนี้เริ่มมองเห็นบริษัทขนาดใหญ่ หลายรายประเทศ ความพร้อมเพรียงสำหรับการไปสู่ธุรกิจ Virtual Bank ทั้งเป็น ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทอื่นๆเข้ามาสู่สนามนี้ด้วย

ธนาคารพาณิชย์ ไร้สาขา หรือ Virtual Bank ตามนิยามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ระบุไว้ คือ การให้บริการทางการเงิน รูปแบบใหม่ ผ่านช่องทางดิจิทัล ด้วยเงินลงทุนด้านบุคลากร อาคาร และสถานที่ ที่ลดน้อยลง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ของลูกค้าได้ตรงจุด และครบวงจรขึ้น รวมถึงเพิ่มการเข้าถึงบริการ ทางการเงินในราคา ที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้บริการรายย่อย และเอสเอ็มอี ซึ่งยังไม่ได้รับบริการ ทางการเงินอย่างพอเพียง หรือตรงความต้องการ

ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรวมได้ กำหนดหลักเกณฑ์การก่อตั้งธนาคารไร้สาขา และมีหลักการสำคัญ ที่ต้องการควบคุม ไม่ให้การก่อตั้งธนาคารไร้สาขา ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงสินเชื่อ ในลักษณะที่สร้างหนี้สินเกินกำลัง

รวมทั้งไม่ทำให้การปล่อยสินเชื่อส่งผลเสียต่อเสถียรภาพ ระบบการเงินของประเทศ โดยเฉพาะในหัวข้อการกระตุ้น ตลาดให้เกิดการแข่งขัน การปล่อยสินเชื่อ แต่ยังคงแนวทางสำคัญ สำหรับการเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจดิจิทัล

Virtual Bank

เดี๋ยวนี้เริ่มเห็นบริษัทขนาดใหญ่หลายรายประเทศ ธนาคารพาณิชย์ ความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ธุรกิจ Virtual Bank

เป็นการประกาศตัว จากทั้งธนาคารพาณิชย์ในตอนนี้ และบริษัทที่อยู่นอก ธุรกิจธนาคาร ข้อแม้ทางเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ ธุรกิจธนาคาร เปิดกว้างเยอะขึ้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะธนาคารแบบดั้งเดิม ที่มีการดำเนินงานในประเทศไทย มาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ฉะนั้นการเปิดกว้างเพื่อจัดตั้งธนาคาร ไร้สาขาก็เลยเป็นจุดเริ่มแรกยุคใหม่ ของธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นยุคที่จะชนะกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

ในรอบ 100 ปี มีธนาคารในประเทศไทยก่อตั้งมาไม่น้อยเลยทีเดียว และจำนวนมาก ที่ชื่อหายไปจากประวัติศาสตร์ จากผลกระทบหลายต้นสายปลายเหตุทั้ง ปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึง ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารในหน่วยงาน และการควบรวมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของธนาคาร

ด้วยเหตุดังกล่าว ก็เลยมีหลายชื่อ ที่หายไป โดยกรณีล่าสุดเป็นธนาคาร ทหารไทยธนชาต ที่มีต้นเหตุมาจากการควบรวมธนาคารทหารไทย และธนาคารธนชาต ซึ่งในอดีต ธนาคารธนชาต มีประวัติศาสตร์ร่วมกับ ธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารศรีนคร

ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ยังไม่เปิดเผยข้อมูลการเข้าสู่ Virtual Bank นิดหน่อยอาจสุ่มจัดการ หรือเล็กน้อยบางทีอาจตามไม่ทันเทคโนโลยี ถึงแม้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ใบอนุญาตระยะต้นเพียงแค่ 3 ใบ แต่เมื่อการแข่งขัน เปิดกว้างคู่แข่งของ ธนาคารพาณิชย์ ไม่ใช่แค่ธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน แต่มีคู่แข่งจากหลายธุรกิจ เข้ามาชิงตลาดการเงิน ได้แก่ เอไอเอส , ซีพี , เจมาร์ท สิ่งกลุ่มนี้ย่อมสะท้อนให้เห็น ได้ว่าธนาคารที่พวกเรารู้จักชื่อในวันนี้ บางครั้งก็อาจจะไม่พบชื่อในอีก 10-20 ปี ข้างหน้า

เอไอเอส จัดทัพ บริการดิจิทัล

‘เอไอเอส’ จัดทัพ ‘บริการดิจิทัล’ ผนึก ‘กัลฟ์’ ลุยเวอร์ชวลแบงก์

หลังธนาคารแห่งเมืองไทย เปิดทางอนุญาตการก่อตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ไร้ตู้เอทีเอ็ม โดยให้บริการผ่านทางดิจิทัล หรือ Virtual Bank ปรากฏว่า มีผู้พอใจยื่นขอไลเซนส์ราว 10 ราย จากหลากหลายชนิดธุรกิจขนาดใหญ่

พื้นฐานแบงก์ชาติจะให้ไลเซนส์นำร่อง 3 ราย นำมาซึ่งการทำให้เรื่องนี้อยู่ในความน่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการสถาบันการเงิน รวมถึงกลุ่มทุนโทรคมนาคม โดยใจความสำคัญใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ได้เซ็นสัญญาด้วยกันกับ ธนาคารกรุงไทย เพื่อด้วยกันก่อตั้ง Virtual Bank เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการ โทรคมนาคม มีความเห็นว่า เอไอเอส ประกาศตัวเองเพื่อเข้าสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co

โดยปัจจุบันนี้จำนวนปัจจุบันในไตรมาส 3/2565 มีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือรวมที่ 45.7 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นลูกค้าระบบเติมเงิน 33.3 ล้านเลขหมาย และระบบทุกเดือน 12.4 ล้านเลขหมาย ลูกค้า 5 จี รวมทั้งสิ้นแล้วมากกว่า 5.5 ล้านราย ลูกค้า เอไอเอสไฟเบอร์ เติบโต กว่า 2.1 ล้านราย

ที่ผ่านมาหากแม้ “เอไอเอส” ยังไม่เปิดเผยเรื่องการเป็น Virtual Bank แต่ได้เตรียมพร้อมสู่ธุรกิจใหม่ ด้านธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เริ่มให้ บริการการันตีตัวตนบนระบบดิจิทัล (Identity Provider Agent หรือ IDP Agent) เป็นรายแรก ในอุตสาหกรรม

ทั้งการเปิดบัญชี ธนาคารออนไลน์ การเปิดบัญชีซื้อขาย สินทรัพย์ดิจิทัล การเปิดบัญชีหลักทรัพย์ออนไลน์ การซื้อกองทุน และประกันภัยออนไลน์ และการยื่นขอสินเชื่อส่วนบุคคล ผ่านความร่วมแรงร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ในกลุ่มธุรกิจไฟแนนซ์ และรับรองกว่า 20 ราย

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้อย่างง่ายดาย และมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รับรองจากการทำงานร่วมกับ National Digital ID (NDID) ซึ่งได้รับการควบคุมดูแลภายใต้ที่ทำการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

ในฐานะบริษัทที่ให้บริการ แพลตฟอร์มระบบการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ที่เปิดให้บริการผ่านช่องทางของเอไอเอส ทั้ง AIS Shop, AIS Telewiz, AIS BUDDY, AIS Mini corner และอื่นๆรวมกันกว่า 15,949 จุดบริการทั่วทั้งประเทศ

กลุ่มเจมาร์ทจ่อรุก เวอร์ชวลแบงก์

ด้านบริษัทเจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART โฮลดิ้ง คอมพานี ซึ่งเป็นหัวหน้าขายทั้งค้าปลีก และค้าส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าที่เกี่ยวโยง ธุรกิจการคลัง และเทคโนโลยีอื่นๆอีกมากมาย มีเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่โลกการเงินดิจิทัล ประกาศเตรียม ที่จะเข้าไปรุกธุรกิจ Virtual Bank

โดยบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) บริษัทลูกของ JMART มีพันธมิตรในการพัฒนาระบบ Virtual Bank นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรเป็น KB Financial Group กลุ่มธุรกิจการเงินชั้นหนึ่ง ในประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้เริ่มมีการปรึกษาขอคำแนะนำในหัวข้อนี้ ที่จะร่วมเชื่อมโลกเทคโนโลยี สู่ลูกค้า เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ ตอบโจทย์ความต้องการ ของลูกค้า ให้ดียิ่งขึ้น เสมอเหมือน ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ให้เข้าถึงบริการทางการรายได้ อย่างครบวงจร

สตง.สอบ “กรมควบคุมโรค-สธ.” ควัก 1.5 พันล.รับมือ โควิด เหลว ทำงานล่าช้านับปี

สตง.แพร่ผลสำรวจการ “ กรมควบคุมโรค – สำนักงานปลัด สธ. ” ใช้งบ 1.5 พันล้าน รับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน โควิด – 19 ระบาด พบไม่เป็นไปตามแผนงาน ชักช้านานนับปี รับมือได้ไม่ทันกาล จัดซื้อครุภัณฑ์ล่าช้า – ไม่ได้ใช้ประโยชน์ บางสิ่งบางอย่างยกเลิก

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์ความสำเร็จ และประสิทธิภาพการทำงาน โครงการด้านสาธารณสุข เพื่อจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากการระบาด ของโรคติดเชื้อ โควิด – 19

สืบไปจากกรณีสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรเงินกู้ยืมตาม พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ภายใต้แผนงานย่อย 1.5หมายถึงแผนงาน หรือโครงการด้านสาธารณสุขเพื่อจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติด เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นจำนวนเงิน 1,517.26 ล้านบาท

กรมควบคุมโรค-สธ

โดย สตง.มีข้อตรวจเจอของ กรมควบคุมโรค ในหัวข้อสำคัญ

การดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามแผนงาน และครุภัณฑ์ ที่จัดซื้อบางรายการไม่ได้ใช้ประโยชน์ สำหรับในการจัดการสถานการณ์เร่งด่วน จากการระบาดของโรคได้อย่างทันกาล แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1.โครงการเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุข เพื่อจัดการเหตุการณ์รีบด่วน อันเนื่องด้วยการระบาดของเชื้อ โควิด-19 มีการดำเนินการโครงการชักช้า 8 เดือน

2.โครงการค้นหาเชิงรุกสำหรับกลุ่มเสี่ยงของโรค โควิด-19 มีการจัดการโครงการล่า 8 เดือนด้วยเหมือนกัน

นอกเหนือจากนี้ถ้าตรึกตรองจากเรื่องจริง และข้อมูลที่แสดงถึงระดับความรุนแรง ของสถานการณ์ของโรคในแต่ละตอน พบว่า การดำเนินกิจกรรม ในโครงการบางส่วน ที่มุ่งหมายเป็นการป้องกัน หรือควบคุม ยับยั้งการระบาด ไม่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ใส่คล้องกับระดับความร้ายแรงในแต่ละระยะเวลา

ก็เลยไม่สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้อย่างทันกาล โดยโครงการจัดเตรียมด้านสาธารณสุขเพื่อต่อกรเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้น ใช้ช่วงเวลาดำเนินโครงการยาวนานตั้งแต่ระลอก ที่ 1-4 รวม 1 ปี 8 เดือน ส่วนโครงการค้นหาเชิงรุกในระดับพื้นที่ ใช้ระยะเวลาจัดการตั้งแต่ระลอก 3 เป็นต้นมา รวมช่วงเวลาดำเนินโครงการนานถึง 1 ปี 3 เดือน

ช่วงเวลาเดียวกัน การจัดซื้อครุภัณฑ์บางรายการมีความชักช้า บางรายการไม่ได้ใช้ประโยชน์ นอกจากนั้นยังมีการยกเลิกการใช้จัดซื้ออีกด้วย

ควัก 1.5 พันล.

หลายชาติ เริ่มวิตกกังวล โรคปริศนา-เหมือน โควิด ระบาดใน อัฟกานิสถาน ดับแล้ว 21

หลายประเทศเริ่มกังวลใจ โรคติดต่อปริศนา ลักษณะของการป่วยเหมือนโควิด ระบาดทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ของอัฟกานิสถาน เสียชีวิตแล้ว 21 ยังไม่รู้จักเป็นเชื้อโรคอะไร

เมื่อ 25 เดือนมกราคม 2566 สื่อต่างชาติติดตามโรคติดต่อปริศนา ที่กำลังระบาด ในภูมิภาควาคาน (Wakhan) ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของอัฟกานิสถาน ทำให้มีคนเสียชีวิตแล้วขั้นต่ำ 21 ศพ ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอัฟกานิสถานระบุ โรคติดต่อปริศนา ทำให้เกิดลักษณะของการป่วย เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เหมือนกับโรค โควิด-19 เป็นอย่างมาก

ขณะนี้ กำลังเกิดความรู้สึกกังวลใจ โรคปริศนานี้บางทีอาจแพร่ระบาดไปไกลกว่าบริเวณภูมิภาควาคานแล้ว โดยทางการ ปากีสถาน ซึ่งมีพรมแดนติดกับอัฟกานิสถาน ได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาติดตามเหตุการณ์ ในภูมิภาควาคาน เพื่อสืบสวนการระบาดของโรค

เช่นเดียวกับทางการ คีร์กีซสถาน ประเทศในเอเชียกลาง หากแม้ไม่มีพรมแดนติดกับอัฟกานิสถาน แต่ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาติดตามสถานการณ์ระบาด ของโรคติดต่อปริศนาใน อัฟกานิสถาน ด้วยความไม่ค่อยสบายใจ

สำนักข่าว Bakhtar ในอัฟกานิสถาน อ้างว่า มีเยาวชนในเมืองบักห์ลาน ทางภาคเหนือของอัฟกานิสถานเสียชีวิตอย่างน้อย 50 ศพ เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังล้มป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลในเมืองบักห์ลาน เผยว่ามีเยาวชนกว่า 1,000 คนป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเมื่อเดือนก่อน

ขณะที่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ซึ่งรอดูแลโรงพยาบาล 33 แห่งในอัฟกานิสถาน ยังรายงานเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า มีเด็กๆในอัฟกานิสถานเข้ารับการรักษา ด้วยอาการปอดอักเสบ ที่โรงพยาบาลในปี 2022 มากขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับเวลาเดียวกันของปีกลาย

ข้อมูลของ ICRC ที่ออกมาเมื่อต้นเดือนมกราคม นี้ ยังกล่าวมาว่า เจอผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคปอดอักเสบทั่วประเทศอัฟกานิสถาน ในปี 2022 ปริมาณ 213,049 ราย เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่โรคติดต่อปริศนากำลังระบาดไปทั่วประเทศ อัฟกานิสถาน เจ้าหน้าที่รัฐบาลตาลีบัน ที่ปกครองอัฟกานิสถาน ยังระบุว่าตามคลินิกในจังหวัดต่างๆมีพลเมืองเจ็บป่วยจากการติดเชื้อปริศนาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ นักระบาดวิทยาในอัฟกานิสถานยังไม่อาจจะเจาะจงได้ว่าโรคติดต่อปริศนานี้เป็นผลมาจากเชื้อโรคอะไร.

"ทองคำนิวยอร์ก" ปิดบวก 40 เซนต์ รับคาดการณ์เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย

สัญญาตลาด ทองคำนิวยอร์ก ปิดบวกในวันจันทร์ (23 เดือนมกราคม) ขานตอบการคาดการณ์ ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับการประชุมสัปดาห์หน้า

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) มอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 1,928.60 ดอลลาร์ / ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 38.1 เซนต์ หรือ 1.59% ปิดที่ 23.554 ดอลลาร์ / ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 8.5 ดอลลาร์ หรือ 0.81% ปิดที่ 1,056.3 ดอลลาร์ / ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 21.80 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 1,701.40 ดอลลาร์ / ออนซ์

สัญญาทองคำยังคงเคลื่อนไหวที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมีลัษณะทิศทางที่จะยุติ วงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องด้วยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลงโดยตลอด

นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% สำหรับเพื่อการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. หลังดัชนีราคาผู้ซื้อ (CPI) และดัชนีราคาผู้สร้าง (PPI) ของสหรัฐต่างชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสุดยอดแล้ว

ทั้งนี้ การรอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะบีบคั้นให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจของทองคำ โดยการทำให้สัญญาทองคำ ซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุน ที่ครอบครองเงินสกุลอื่นๆ

ราคาทองรูปพรรณวันนี้

ราคาทองรูปพรรณ วันนี้ 24 มกราคม66 เปิดตลาดเพิ่มขึ้น 50 บาท จาก ราคา ทองคำนิวยอร์ก

ราคาทองวันนี้ล่าสุด 24 ม.ค.66 ประกาศครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งขายออกบาทละ 29,950 บ. ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 30,450
ราคาทองวันนี้ล่าสุด 24 มกราคม 2566 เมื่อเวลา 09.21 น. สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาครั้งที่ 1 มากขึ้น 50 บาาท เมื่อเทียบกับราคาปิดวานนี้(23 มกราคม66) ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 29,950.00 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 30,450.00 บาท

ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 1,934.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายทุกวันที่ 24 ม.ค. 2566 (ครั้งที่ 1) เมื่อเวลา 09.21 บาท มากขึ้น 50 บาาท

ทองคำแท่ง

รับซื้อบาทละ 29,850.00 บาท
ขายออกบาทละ 29,950.00 บาท

ทองรูปพรรณ

รับซื้อบาทละ 29,319.44 บาท
ขายออกบาทละ 30,450.00 บาท

ราคาทอง ประจำวันที่ 23 เดือนมกราคม 2566 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 5 ครั้ง มากขึ้น 50 บาท

ทองคำแท่ง

รับซื้อบาทละ 29,800.00 บาท
ขายออกบาทละ 29,900.00 บาท

ทองรูปพรรณ

รับซื้อบาทละ 29,258.80 บาท
ขายออกบาทละ 30,400.00 บาท

ทองวันนี้ “ขึ้นต่ออีก 50 บาท” คาดหวังเฟดตรึงดอกเบี้ย

ราคาทองวันนี้ แนวโน้มตลาดทองคำ ทดสอบ 1,940 ดอลลาร์ คาดหวังเฟดส่งสัญญาณตรึงดอกเบี้ยช่วงกลางปี

สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองคำในประเทศ (24 เดือนมกราคม 66) ราคาทองคำสปอตย่อตัวแรง แต่ก็รีบาวด์คืนได้แรง หมายความว่าโมเมนตัมยังบวกให้มีลุ้นทดสอบ 1,940 ดอลลาร์

ทองคำแท่ง รับซื้อคืน 29,850.00 บาท / บาททองคำ และขายออก 29,950.00 บาท / บาททองคำ
ทองรูปพรรณ รับซื้อคืน 29,319.44 บาท / บาททองคำ และขายออก 30,450.00 บาท / บาททองคำ

ทองคำในประเทศ อ้างอิงตลาดสปอตที่ 1,934.50 ดอลลาร์ / ออนซ์ และอิงค่าเงินบาท 32.73 บาท / ดอลลาร์

ราคาทองคำสปอตพบเจอแรงขายทำกำไรตลอดวานนี้กดให้ราคาแกว่งอ่อนตัวในช่วง 1,911-1,935 ดอลลาร์ แต่ตลาดยังคงให้ความมั่นใจสูงถึง 95-100% ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแผนการอีกแค่เพียง 0.25% สำหรับการประชุมวันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ อีกทั้งตลาดเริ่มคาดหวังเหตุว่าประธานเฟดได้โอกาสจะส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี

ทำให้มีแรงซื้อกลับหนุนให้ราคาทองคำที่ย่อลงใกล้ระดับ 1,900 ดอลลาร์ ดีดตัว รีบาวด์กลับขึ้นมา กองทุน SPDR Gold Trust ไม่มีความเคลื่อนไหวยอดสุทธิ และยังคงครอบครองทองคำ 917.06 ตัน

ราคาทอง 24 ม.ค.66

ตัวเลข เศรษฐกิจ ที่จะต้องติดตาม

คืนนี้สหรัฐจะรายงานตัวเลขเบื้องต้นของดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ทั้งในภาคการผลิต และในภาคการบริการ ประจำเดือน เดือนมกราคม ที่คาดว่าจะหดตัวลงตลอดเป็นเดือนที่ 4 และ 7 ติดต่อกัน ส่วนดัชนีกิจกรรม ภาคการผลิต ในเขตริชมอนด์ ประจำเดือน เดือนมกราคม ก็คาดว่าจะกลับมาหดตัวลงอีกทีด้วยเหมือนกัน

แนวโน้มราคาทอง

ราคาทองคำสปอตย่อลงแล้วดีดแรง ถึงแม้ภาพรวมเป็นการสวิงในกรอบจำกัดเพื่อรอคอยข่าวเฟดสัปดาห์หน้า แต่ด้วยแรงซื้อกลับเมื่อวานนี้ก็อาจช่วยให้มีแรงส่งเป็นโมเมนตัมเชิงบวกดันราคาขึ้นทะลุ 1,940 ดอลลาร์ แต่ถ้าเกิดวันนี้ทดลองแล้วไม่ผ่าน จะเกิดแรงขายกดกลับลงมาสวิงในกรอบดังเดิม สำหรับวันนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,920 ดอลลาร์ และ 1,910 ดอลลาร์ และมองดูแนวต่อต้านไว้ที่ 1,935 ดอลลาร์ และ 1,942 ดอลลาร์

แนวโน้มราคาทองคำแกว่งตัวจำกัด

SPDR ซื้อนำ ถึงแม้ราคาทอง Spot แกว่งจำกัดในระดับค่อนข้างสูง แต่เงินบาทยังน่าห่วง และดูมีสิทธิ์จะหลุดลงไปหา 32 บาทต่อดอลลาร์

บทวิเคราะห์ราคาทอง บริษัท ฮั่วเซ่งโชคดี โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำ Spot แกว่งไกวทรงตัวต่อเนื่องเหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์ หากแม้แรงซื้ออ่อนแรงลง แต่ได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแน่ๆแค่ 0.25% ทำให้เงินดอลลาร์อยู่ในแนวทางที่อ่อนค่า และราคาของกินของใช้ต่างๆรวมทั้งทองคำมีโอกาสปรับขึ้นต่อ แต่อย่างไรก็ดี เงินบาทเองก็แข็งค่ามายืนแถว 32.60 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวโน้มว่าจะร่วงลงแข็งค่าเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การปรับขึ้นของราคาทองคำในประเทศมีกรอบจำกัดค่อนข้างจะมากมาย ทั้งนี้ SPDR Gold Trust ซื้อสุทธิ 4.63 ตัน รวมครอบครองทองคำทั้งสิ้น 917.06 ตัน

จำนวนเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม

คืนวันนี้สหรัฐจะรายงานตัวเลข ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจ ประจำเดือน เดือนธันวาคม ที่คาดว่าจะตกลงเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน

AWC ตั้งบริษัทย่อยบริหาร“เดอะ เวสทิน สิเหร่ ภูเก็ต”มูลค่า 3.5 พันล้าน

AWC ของ”เจ้าสัวเจริญ”รุกลงทุนตลอด ประกาศตั้งบริษัทย่อย ภูเก็ต คอลเล็กชั่นส์ พรอพเพอร์ตี้ บริหารโครงการ เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต มูลค่าลงทุนกว่า 3.5 พันล้านบาท

ดร.กานต์ ปฏิเวธวรรณกิจ หัวหน้าคณะสายงานบัญชี และการคลังบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งเมืองไทยว่า บริษัทได้จัดการจดทะเบียนตั้งบริษัทย่อยใหม่ ปริมาณ 1 บริษัท

ชื่อ บริษัท ภูเก็ต คอลเล็กชั่นส์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เพื่อรองรับการเข้าลงทุนในโครงการ เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต

โครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท ภูเก็ต คอลเล็กชั่นส์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด มี AWC ถือปริมาณร้อยละ 25 บริษัท ทีซีชี โฮเทล แอสเสท แมนเนจเมนท์ จำกัด หรือ THAM ถือปริมาณร้อยละ 75 และ บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด (AWR) ถือ 1 หุ้น

AWC เป็นผู้พัฒนาอสังหาขอบทรัพย์รายใหญ่ ในเครือทีซีซี ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ประกาศแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2565-2569) วงเงิน 100,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาธุรกิจโรงแรม และค้าปลีก ตลอด 15 โครงการ

ซึ่งเมื่อปลายปี 2565 ได้เข้าซื้อกิจการ และพัฒนาต่ออีก 2 โครงการในกรุงเทพฯ และภูเก็ต รวมมูลค่าลงทุน 8,850 ล้านบาท

ในกรุงเทพอาทิเช่น โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ มูลค่าที่ซื้อ 3,180 ล้านบาท และใช้งบประมาณลงทุนพัฒนาโครงการ อีก 2,120 ล้านบาท รวมเงินทุนราว 5,300 ล้านบาท

ที่ภูเก็ต เป็นโรงแรม เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต มูลค่ารวม 2,450 ล้านบาท และใช้งบประมาณลงทุนพัฒนาโครงการอีก 1,100 ล้านบาท รวมลงทุนราว 3,550 ล้านบาท

ปัจจุบัน AWC มีโรงแรมรวม 19 แห่ง แบ่งเป็น 8 แห่งในกรุงเทพฯ และโรงแรมในต่างจังหวัด 11 แห่ง ทั้งในภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน กระบี่ สมุย รวม 5,201 ห้องพัก

ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 AWC มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 1,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% และตอน 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 2,448 ล้านบาท ผลประกอบการฟื้นตัวขึ้นมา จากเหตุการณ์โควิด ที่คลี่คลาย และมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากยิ่งขึ้น

ราคาหุ้น AWC ปิดตลาดวานนี้(17ม.ค.) ที่ 5.95 บาท

ขอบพระคุณรูปภาพจาก เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต

เดอะ เวสทิน สิเหร่

ทายาทเจ้าสัวเจริญ ดัน AWC เดอะ เวสทิน สิเหร่ ลงทุน 1 แสนล้าน รับท่องเที่ยวฉลุย

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บอกว่า ธุรกิจของ AWC ในปีนี้มีการขยายตัวของรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้รายได้ของ AWC จะสูงกว่าปี 2562 เนื่องมาจาก 3 ปัจจัยหลัก เช่น

1.AWC มีธุรกิจในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้น

2.แนวโน้มการเติบโต ของนักท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น จากปีกลายหน้า ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตมาตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะไตรมาสแรกปีนี้จัดว่าดีมากกว่าตอนเดียวกันของปีที่ผ่านมามาก บางโรงแรมมี อัตราการเข้าพักเฉลี่ย 80 – 90 % ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด โควิด-19

3.ราคาค่าห้องพักเฉลี่ย ที่สามารถปรับราคาเพิ่มสูงมากขึ้น บางโรงแรมมากขึ้นได้กว่า 20% ด้วยเหตุว่าตรงกับช่วง ไฮน์ซีซัน ประกอบกับ นักท่องเที่ยว จากหลายประเทศเริ่มเดินทาง เข้าไทยได้มากขึ้น จากปริมาณเที่ยวบินต่างๆ ที่ทำการบินเข้าไทย ที่มากขึ้นต่อเนื่อง

รวมทั้งการเปิด ประเทศของจีน ก็ทำให้ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวกลุ่ม FIT (เดินทางเที่ยวด้วย ตัวเอง)เดินทางเข้าไทยมาก่อน เวลานี้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ส่วนกรุ๊ปทัวร์จีน ปัจจุบันนี้ยังไม่มากมาย คงจะจะต้องใช้เวลาประกอบกับ ด้วยราคาตั๋วเครื่องบิน ที่เพิ่มสูงขึ้น นักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้ามาก็เลยเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อ ซึ่งก็ตรงกับกลุ่มจุดมุ่งหมายของ AWC ที่เราจุดโฟกัสตลาดไฮเอนท์เป็นหลัก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ยังกล่าวต่อว่า จากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นตลอด ทาง AWC ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผน 5 ปี (ปี 2565-2569)และเปลี่ยนแปลงให้กับเหตุการณ์ตามแผน 5 ปี (ปี 2565-2569) โดยได้วางงบประมาณลงทุนไว้ที่ 100,000 ล้านบาท

โดยมีโครงการที่อยู่สำหรับในการพัฒนาตลอด 15 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมราวๆ 60,000 ล้านบาท เช่น อควาทีค เดอะบีชฟรอนท์ พัทยา ,เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย ,บันยันทรี จอมเทียน, พัทยา , พัทยา แมริออท รีสอร์ท&สปา แอท จอมเทียน บีช ,เวิ้ง นครเกษม

ส่วนอีก 40,000 ล้านบาท จะมองช่องทางสำหรับในการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งที่ผ่านมามีโรงแรม ทยอยเสนอขายเข้ามากว่า 200 แห่ง แต่การจะซื้อไหม จำเป็นต้องวิเคราะห์โอกาสการลงทุนที่เกิดขึ้นด้วย

เดอะ เวสทิน สิเหร่ฯ ภูเก็ต

ทั้งนี้ในปีนี้ AWC มีแผนสำหรับการจะเปิดโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล ในตอนไตรมาส 1 ปีนี้ รวมทั้งโรงแรมแมริออท เชียงใหม่

ยิ่งกว่านั้นพวกเรายังจุดโฟกัสการลงทุนโครงการใหม่ๆของ AWC ก็เน้นย้ำการพัฒนาสู่ความคงทนถาวรพร้อมด้วย การบริหารเงินลงทุน และกระแสเงินสด จากการที่ดอกเบี้ยปรับมากขึ้น

ทั้งบริษัทยังได้ตั้งเป้าหมายจะเป็น Carbon Neutral เป็นการลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจก สุทธิให้เป็นศูนย์ ในปี 2572 โดยในตอน 5 ปีจากนี้ ตั้งแต่ปี 2565-2569 บริษัทจะย้ำลงทุนพัฒนาโครงการ ตามอุบาย Carbon Neutral ที่คิดถึงมาตรฐานอาคารสีเขียว และได้รับการยืนยันมาตรฐาน EDGE

เช่น โรงแรมอินเตอร์ คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล, โรงแรม อินน์ไซด์ กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งถือเป็นโครงการ ที่ก่อสร้างโดยพิจารณาถึงมาตรฐาน อาคารสีเขียว และได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE ซึ่งจัดเตรียมเปิดให้บริการภายในต้นปี 2566

โครงการ อควาทีค เดอะบีช ฟรอนท์ พัทยา ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ได้รับการรับรอง LEED ภายในปี 2569

โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยายที่ตั้งเป้าให้ได้รับการยืนยัน LEED & WELL ภายในปี 2572

ปัจจุบัน AWC มีธุรกิจโรงแรม และบริการ 19 แห่ง กลุ่มศูนย์การค้า 9 แห่ง อาคารสำนักงาน 4 แห่ง กลุ่มธุรกิจขายส่ง 4 แห่ง รวม 34 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาใหม่อีก 15 แห่ง

คัมภีร์แม่ทัพ ‘ชาตยา สุพรรณพงศ์’ เคลื่อน ‘บาร์บีคิวพลาซ่า’ ด้วย ‘แพชชั่น’

จากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อธุรกิจ อาหาร เมื่อยุคพ่อแม่ “ชูพงศ์-นิภานันท์ ชูพจน์เจริญ” รุ่น 1 ผู้ปลุกปั้น “บาร์บีคิวพลาซ่า” มีน้ำจิ้ม “สูตรลับ” ชนะใจผู้ซื้อมาอย่างยาวนาน ถึงคิว “ทายาท” รับไม้ต่อเคลื่อนอาณาจักร “พันล้าน” ผ่านฝีมืมอซีอีโอหญิง “ชาตยา สุพรรณพงศ์”

บนสรมภูมิ ธุรกิจร้านอาหาร มูลค่าหลายแสนล้านบาท มีสารพัดหมวดหมู่ที่ยึดตลาด ยิ่งกว่านั้น ยังมีหลากแบรนด์ ที่เกาะกุมขุมทรัพย์ทางการตลาดไว้อย่างแน่นแฟ้น

“ฟู้ดแพชชั่น” บางทีอาจเป็นชื่อที่ปรากฏในวงการ ธุรกิจร้านอาหาร ไม่ถึง 1 ทศวรรษ แต่ถ้าหากเจาะลึกอาณาจักรขนาดย่อมแห่งนี้ เชี่ยวชาญบนสังเวียนยาวนานกว่า 30 ปีแล้ว ภายใต้ชื่อ “เดอะ บาร์บีคิวพลาซ่า” ชื่อก่อนทรานส์ฟอร์มองค์กร

ตระกูล “ชูพจน์เจริญ” เป็นผู้ครอบครองธุรกิจโครงข่ายร้านอาหารสัญชาติไทย โดย 2 ผู้ปลุกปั้นคือ “ชูพงศ์-นิภานันท์ ชูพจน์เจริญ” ซึ่งเป็นรุ่น 1 สร้างสรรค์ ร้านอาหาร “บาร์บีคิวพลาซ่า” ที่มีน้ำจิ้ม “สูตรลับ” ชนะใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน

ปัจจุบันนี้ “ทายาทรุ่น 2” เข้ามารับไม้ต่อ ขับเคลื่อนอาณาจักร “พันล้าน” ต่อจากบิดามารดา และมี “ชาตยา สุพรรณพงศ์” สวมบทเป็นแม่ทัพหญิง กับตำแหน่งประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด สร้างการเติบโตให้ธุรกิจร้านอาหารโครงข่าย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์บาร์บีคิว พลาซ่า, เรดซัน, จุ่ม แซ่บ ฮัท ฯ

ชูพงศ์ นิภานันท์ ชูพจน์เจริญ

รายการ “SUITS” พาไปถอดสูตรการบรรลุเป้าหมายฉบับ CEO เพื่อเปิดสูตรลับ Food Passion เถ้าแก่ปิ้งย่าง “บาร์บีคิวพลาซ่า”

ขวัญใจมหาชนคนไทย บนทางธุรกิจ ร้านอาหาร ของฟู้ดแพชชั่น “ชาตยา” ฉายภาพการขยายอาณาจักรย่อมๆสร้างการเติบโต มีร้านอาหารหลายแบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น ร้านปิ้งย่าง “บาร์บีคิวพลาซ่า” จำนวน 150 สาขา ในไทย ร้านอาหารเกาหลี “เรดซัน” 15 สาขา ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ “ฌานา” 1 สาขา และร้าน “จุ่ม แซ่บ ฮัท” ส่วนในเมืองนอก แบรนด์บาร์บีคิว พลาซ่า เปิดที่มาเลเซียมากว่า 20 ปีแล้ว และยังขยายไปสู่ ตลาดอินโดนีเซีย และกัมพูชา รวมมีร้าน 30 สาขา และปี 2566 ยังวางแผนเปิดในต่างแดนเพิ่มด้วย

“ชาตยา” จบสายอาร์ท นั่นเป็นสิ่งที่เธอนิยาม หรือคว้าปริญญาตรี ด้านอักษรศาสตร์มาครอง และโทสารนิเทศ เมื่อเป็นทายาทต้องเข้ามาเคลื่อนธุรกิจ ไม่ใช่โจทย์ยากนัก ด้วยเหตุว่าการจัดการงานต่างๆอยู่ใน “สายเลือด” เป็นทุนเดิม ด้วยเหตุว่าตั้งแต่เด็กๆ เห็นพ่อแม่ปฏิบัติงานมาโดยตลอด ยิ่งสถานศึกษา ที่ปฏิบัติงาน อยู่ใกล้กัน เลิกเรียน กลับบ้านจำเป็นต้องแวะเวียนไปยังออฟฟิศเป็นประจำ

ยิ่งกว่านั้น บทสนทนาบนโต๊ะอาหารของที่บ้าน ล้วนเกิดเรื่องงาน การบริหารธุรกิจ ทำให้ซึม เก็บเกี่ยวองค์ความรู้จากพ่อแม่ไปโดยปริยาย

เมื่อเข้ามาทำธุรกิจ “ชาตยา” เริ่มจากตำแหน่งเล็กๆในหน่วยงาน ซึ่งในขณะนั้นเธอแต่งตั้งให้ตนเองเป็น COO ส่วนหนึ่งเพราะพ่อแม่ พี่ๆครอบครองตำแหน่งสำคัญทั้งการตลาด บัญชี โอเปอเรชัน ฯ ประกอบกับตัวเองต้องการ “พัฒนาธุรกิจ” ลองสร้าง ทำสิ่งใหม่ๆให้กัองค์กร ก็เลยเลือกภารกิจดังกล่าว พร้อมด้วยพัฒนา เรื่องมาตรฐานของ ธุรกิจร้านอาหาร เพื่อเป็น “คัมภีร์” เคลื่อนธุรกิจ ไม่ว่าจะขยาย เปิดร้านในไทยหรือต่างชาติ

นอกเหนือจากนั้น ยังคงใช้ความรู้ด้านภาษา ในการแปล จัดทำคู่มือต่างๆทั้งการขาย การดำเนินธุรกิจร้านอาหารของบริษัท เพื่อพันธมิตรนำไปใช้ ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน

“ก่อนเป็นซีอีโอ ผ่านประสบการณ์ทำงานตำแหน่งเล็กๆมาก่อน แม้เราจะเรียนมาไม่ตรงสาย แล้วมาจับธุรกิจ แต่ธุรกิจเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดเราอยู่แล้ว เพราะร้านอาหารเป็นธุรกิจครอบครัว บ้าน ออฟฟิศอยู่ติดกัน ไปโรงเรียน กลับบ้านเห็นพ่อแม่ทำงานที่ออฟฟิศ ได้เรียนรู้นำมาประยุกต์ใช้”

ทั้งนี้ การบริหารงาน หรือเคลื่อนธุรกิจร้านอาหารที่มี “ลูกค้า” ใช้บริการ มีสิ่งหนึ่งเช่นเดียวกันคือ “บริหารเกี่ยวกับคน” ทั้งสิ้น และยังสอดคล้องกับ วิชาชีพที่เรียน คืออักษรศาสตร์ ซึ่งเรียนเกี่ยวกับคน ก็เลยนำมาต่อยอดได้

สมัยพ่อแม่ ผู้จัดตั้งธุรกิจ สร้างการเติบโต

เมื่อต้องสืบต่อ หลายภารกิจเกิดขึ้นในตอนของ “ผู้สืบสกุล” พลิกกระบวนท่า ปัจจุบัน คือการกางโร้ดแมปปี 2568 มุ่งส่งเสริมรายได้ทะยานสู่ 4,500 ล้านบาท ด้วยการมี ร้านอาหารในไทย ให้บริการแก่ลูกค้า 270 สาขา และต่างชาติ 47 สาขา ปักธงเพิ่มในลาว ประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์

ย้อนไปก่อนหน้า ปี 2558 บริษัทยังทรานส์ฟอร์ม “เดอะ บาร์บีคิวพลาซ่า” สู่ “ฟู้ดแพชชั่น” เพื่อสะท้อนภาพองค์กรที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความรักหรือ Passion อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นเพื่อส่งสัญญาณ ให้ตลาดมีความเห็นว่าบริษัทมิได้มีเพียงแค่ร้านอาหารปิ้งย่างแบรนด์ “บาร์บีคิวพลาซ่า” เท่านั้น ยังขยายร้านค้าน้องจุ่มหรือ “จุ่ม แซ่บ ฮัท” ร้านอาหารประเทศเกาหลี “เรด ซัน” ฯ พร้อมให้บุคลากรรู้สึกถึงการเดินไปด้านหน้าด้วยกัน

“เราทำธุรกิจร้านอาหาร ต้องการใช้ชื่อที่ส่งสัญาณความรู้สึก พลัง แรงบันดาลใจ ผสมผสานเป็นแพชชั่น”

แพชชั่น สำคัญมากแค่ไหน สำหรับธุรกิจร้านอาหาร “ชาตยา” หยิบยกเรื่องราวรุ่นบิดามารดามาฉายภาพ เวลาไปรับประทานอาหารที่ไหนก็ตามม จะส่งต่ออิทธิพลให้ทายาทรับรู้ สัมผัสความชอบ ทำความเข้าใจศาสตร์แห่ง การกินอย่างลึกซึ้ง นั่นยังมีผลให้เธอเอามาต่อยอดสู่การสร้าง Purpose สำหรับในการทำธุรกิจ

“เราสร้างเหตุแห่งการดำรงอยู่ที่ใหญ่ขึ้น จากเดิมแพชชั่นคือการตั้งใจขายอาหารที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เราไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่กำลังดูแลผู้คนให้มีความสุข โดยมีมื้ออาหารเป็นสื่อกลาง” เจตนารมย์ดังกล่าว “ชาตยา” ต้องการส่งต่อให้ทั้งลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และสำคัญสุดคือพนักงานที่เป็นเสมือนครอบครัวนับพันชีวิตนั่นเอง

ท่ามกลางธุรกิจเติบโต “ชาตยา” ประจัญหน้า กับวิกฤติไม่แพ้กับแม่ทัพอื่นๆ และกลายเป็น “บทเรียน” ให้ต้องระมัดระวังสำหรับในการบริหารมากยิ่งขึ้น การเปลี่ยน “กระทะดำ” ของบาร์บีคิวพลาซ่า ก่อดราม่าใหญ่ สุดท้ายบริษัทต้องกลับไปใช้กระทะทองเหลืองเหมือนเดิม

“วิกฤติกระทะดำเป็นจุดเปลี่ยนสอนให้รู้ว่าการ Roll out สิ่งใหม่ ต้องมีกลยุทธ์ ไม่ต้องเก็บความลับ หรือทำพร้อมกันหมด สามารถลองได้ทีละเขต หรือสาขา อีกเรื่องทำให้เข้าใจคำว่าวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เกิดการร่วมแรงร่วมใจต่อสู้ ก็วัดกันห้วงเวลานี้ และทำให้เราผ่านวิกฤติไปได้”

ทว่า ความล้มเหลวราคาแพง “ชาตยา” ยกให้ความไฟแรงในการทำร้านอาหาร Fireplace ที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ซึ่งต้องการทำให้พ่อแม่เห็นว่าควรทำร้านอาหารแบบนั้นแบบนี้ สุดท้ายต้องปิดกิจการ

“ได้บทเรียนราคาแพง การทำธุรกิจต้องเคารพคนทำงานหน้าบ้าน หลังบ้าน และคนที่สร้างธุรกิจจาก Zero to One คือพ่อแม่ที่สร้างกิจการมาได้ เพราะอดทน ผ่านร้อนหนาวมาเยอะ” เหตุการณ์ดังกล่าว ยังทำให้มุมมองการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลง เหตุเพราะส่วนประกอบที่ทำให้ร้านอาหารกลมกล่อมละมุนละไมมีทั้งทีมงานหน้าบ้านหลังบ้าน

โควิด-19 เป็นอีกวิกฤติทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เพราะเชื้อไวรัสทำให้พฤติกรรมลูกค้าไม่เหมือนเดิม บางทีอาจทานข้าวนอกบ้านต่ำลง การแข่งขันสูงมากขึ้น หนทางกลุ่มเป้าหมายเพิ่มฯ การทำงานก็เลยจำเป็นต้อง “ปรับมายด์เซ็ท”

บาร์บีคิวพลาซ่า

“เพราะโลกเปลี่ยน ภายนอกไม่เหมือนเดิม ถ้าเราไม่เปลี่ยนโลกก็ไม่รอเรา” ที่ผ่านมา บริษัทจึงปรับทั้งโครงสร้าง เปลี่ยนมายด์เซ็ทคนภายในองค์กรให้สอดคล้องกับบริบทต่างๆ

“คน” เป็นหัวใจที่ฟู้ดแพชชั่นให้ความสำคัญมาโดยตลอด พนักงานนับพันชีวิต “ชาตยา” มีแนวคิดในการบริหารผ่าน Happy 4+4 ประกอบด้วย กินดี พักสบาย กายแข็งแรง แบ่งปันความรู้ และจิตดี ครอบครัวดี มีเงินใช้ ให้สังคม อย่างนอกจากเงินเดือนที่ให้พนักงาน ยังให้สินเชื่อ ให้ความรู้ในการแก้หนี้นอกระบบ สร้างวินัยทางการเงินเพื่อให้แข็งแกร่ง เป็นต้น

เคล็ด(ไม่)ลับ การบริหารงานมีล้นหลาม แต่สูตรที่ “ชาตยา” ไม่เคยบอกคนใด ยกให้ 3S ที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารแห่งนี้ประสบผลสำเร็จ เป็นต้นว่า

1.Same same but surprised ชุดปิ้งย่างหมู เนื้อฯ ปกติ แต่ร้านค้ามักมีเซอร์ไพรส์ด้วยเมนูใหม่ๆให้ลูกค้า
2.System DIY ลูกค้าปรุงเอง ทานเอง สนุกเอง
3.Simplicity for Continuity ร้านค้าบาร์บีคิวพลาซ่าเรียบง่ายไม่แพนซี ทั้งหมดเพื่อลูกค้าทานอาหารไม่สุด

บางจาก ประกาศซื้อหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่ประเทศไทย ดีล 55,500 ล้าน

บางจาก ประกาศซื้อหุ้น และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ เอสโซ่ประเทศไทย 55,500 ล้านบาท ครอบคลุม โรงกลั่น 1.7 แสนล้านบาร์เรล คลังที่มีไว้สำหรับเก็บน้ำมัน โครงข่ายสถานีบริการ 700 แห่ง

วันที่ 12 ม.ค. 2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บางจากฯ”) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 ได้มีมติเอกฉันท์อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมและเห็นดีเห็นงามให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิเคราะห์อนุมัติ การเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“เอสโซ่”) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (“ExxonMobil”)

เปิดประวัติ เสี่ยจั๊บ เจ้าของรถหรูเบนท์ลีย์ “สุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์”
เปิดสูตรลับ ส.ว.โหวตนายกฯ รวมพลังงดออกเสียง ปิดทางพลิกขั้วรัฐบาล
นักท่องเที่ยวจีนทะลักเข้าไทย กระทบอินเดียแห่ยกเลิกตั๋ว
โดยบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ ExxonMobil เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2566 และคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด (tender offer) ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับ ExxonMobil เสร็จสิ้น

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนคราวนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืนทางพลังงาน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่ใส่คล้องกับที่มีความสำคัญในการรบที่เพิ่มความคงทนถาวร และเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ผมเชื่อถือว่าการทำธุรกรรมคราวนี้ ถือได้ว่าเป็นการกลับโฉมสู่บริบทใหม่ สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย

บางจาก

บางจาก ลงทุนคราวนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เป็นโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน

โครงข่ายคลังสำหรับเก็บน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วราชอาณาจักรกว่า 700 แห่ง นำมาซึ่งการประหยัดเชิงขนาด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทุนของบริษัท โดยจะมีผลให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ ครบวงจรเยอะขึ้นเรื่อยๆ หาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่น ที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง

การให้บริการด้านการตลาด ที่ครอบคลุม และเสนอบริการให้กับลูกค้าได้เพิ่มขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยี ช่วยพอกพูนความชำนาญและความรู้ความเข้าใจของพนักงาน สร้างความแข็งแรงแกร่งให้ธุรกิจ และส่งผลให้เกิดการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมตัวให้กับกลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

การเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว เป็นการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 65.99 ของปริมาณหุ้นทั้งหมด

ของ เอสโซ่จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ หากอ้างอิงตามงบการเงินตรวจทานในไตรมาส 3/2565 ของเอสโซ่ จะได้ราคาเบื้องต้นโดยประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามข้อตกลงที่ตกลงไว้

สำหรับแหล่งเงินทุน บางจากฯ จะใช้เงินลงทุนทั้งแหล่งข้างนอกจากสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และจากกระแสเงินสดภายในบริษัท และเตรียมการทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด ภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นจาก ExxonMobil เสร็จสิ้น อนึ่ง ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าหล่อลื่น และเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป

ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานควบคุมดูแลที่เกี่ยวพัน เป็นต้นว่า กระทรวงพลังงาน ที่ทำการคณะกรรมการควบคุมหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ และขึ้นกับการอนุมัติของผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 โดยคาดว่าจะปฏิบัติงานซื้อขายแล้วเสร็จในครึ่งหลังของปี 2566

ด้านเอ็กซอนโมบิลออกแถลงการณ์ขายหุ้นเอสโซ่ ประเทศไทยให้บางจาก ครอบคลุมถึงโรงกลั่นน้ำมันศรีราชา และเครือข่ายสถานีบริการตราเอสโซ่ในประเทศไทย เอ็กซอนโมบิลยังคงหาผลิตภัณฑ์หล่อลื่น และผลิตภัณฑ์เคมีในประเทศไทยถัดไป ศูนย์ธุรกิจระดับโลกกรุงเทพ (Bangkok Global Business Center) กิจกรรมสํารวจและผลิตน้ำมันปิโตรเลียม มิได้รับผลพวงจากการขายหุ้น

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 IRVING, Texas เอ็กซอนโมบิล ได้บรรลุข้อตกลงกับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อขายหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“เอสโซ่”) ซึ่งรวมทั้งโรงกลั่นศรีราชา คลังที่มีไว้เก็บน้ำมันบางแห่ง และโครงข่ายสถานีบริการตราเอสโซ่ โดยถือมั่นสำหรับเพื่อการเสริมสร้างมูลค่า และความสามารถในการแข่งขันโดยรวม ธุรกรรมนี้จะดําเนินการโดยบริษัทในเครือ เอ็กซอนโมบิล คือ เอ็กซอนโมบิล เอเชีย โฮลดิ้ง พีทีอี. แอลทีดี. ซึ่งถือหุ้นปริมาณร้อยละ 65.99 ในเอสโซ่

“เอ็กซอนโมบิล ใช้อุบายที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านการผลิตทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของโลก ด้านเชื้อเพลิงที่ปล่อยก๊าซน้อยลง และสินค้าที่มีคุณภาพสูง ในขณะเดียวกันก็ขายสินทรัพย์ที่มีผู้อื่นเห็นประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการสร้างมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ” คาเรน แม็กคีย์ ประธาน บริษัท เอ็กซอนโมบิล โพรดัก โซลูชันส์ กล่าว “เราตระหนักถึงความสามารถและความมุ่งมั่นของเพื่อนพนักงานในประเทศไทยที่ได้จัดหาผลิตภัณฑ์ให้แก่ตลาดในประเทศไทยและประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัยมากว่า 125 ปี และขอขอบคุณเพื่อนพนักงานที่ทุ่มเทในการทำงาน”

เอสโซ่ประเทศไทย

เอ็กซอนโมบิล จะยังคงหาผลิตภัณฑ์หล่อลื่น และผลิตภัณฑ์เคมีภายใต้ตราของเอ็กซอนโมบิล ให้แก่ตลาดในประเทศไทย

ผ่านการก่อตั้งบริษัทใหม่ ส่วนกิจกรรมสำรวจและผลิตน้ำมันปิโตรเลียม ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล และศูนย์ธุรกิจระดับโลกกรุงเทพ ซึ่งมีพนักงานราวๆ 2,000 คน จะมิได้รับผลพวงใดๆก็ตาม

เอ็กซอนโมบิล ยังคงเน้นการดำเนินการที่ไม่เป็นอันตรายอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งดำเนินงานเพื่อมั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อผูกพันที่มีกับลูกค้า หน่วยงานราชการ และหน่วยงานควบคุมดูแลที่เกี่ยวข้อง

การซื้อขายหุ้นดังกล่าว คาดว่าจะเสร็จสิ้นในตอนครึ่งหลังของปี 2566 ภายใต้ข้อจำกัด และหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

จับชีพจรยักษ์คอนซูเมอร์ปี 66 ผ่านจุดฟื้น เคลื่อน ธุรกิจมุ่งเติบโต

“วิกฤติ” โควิดให้บทเรียนใหญ่ บิ๊กคอร์ปแก้ปัญหายาก พาธุรกิจรอด ปี 2566 หลายภาคส่วนฟันธงปีเศรษฐกิจ การบริโภค ท่องเที่ยวคืนชีพ สัญญาณบวกกระตุ้นยอดขายกลับมาครื้นครึก เจาะมุมมองยักษ์คอนซูเมอร์ ‘สิงห์ อิชิตัน ไลอ้อน’ นิยามตลาดก้าวผ่านจุดฟื้นตัว ธุรกิจมุ่งเติบโต

ธิติพร ธรรมาภิมุขกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มการตลาดแบรนด์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ในฐานะผู้ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มแสนล้าน เปิดเผยว่า ถ้านิยามภาพรวม ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค โดยยิ่งไปกว่านั้นเครื่องดื่มหลายหมวด และมูลค่าหลัก แสนล้านบาท เชื่อว่าผ่านจุดของการฟื้นกลับมาเรียบร้อยแล้ว เพราะสถานการณ์ตลอดจนจำนวนของยอดขาย เข้าสู่ภาวะปกติใกล้เคียงปี 2562 ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนพบเจอโรคโควิด-19 ระบาด

ทั้งนี้ เจาะลึกตลาด เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ บางหมวด มีการเติบโตในมาตรฐานที่ดี ตัวอย่างเช่น น้ำแร่ 14% น้ำดื่ม 12% น้ำอัดลมกลุ่มปราศจากน้ำตาล และ 0% แคลอรี เติบโตไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 70% รวมทั้งโซดา ชาพร้อมดื่ม ตลอดจนเครื่องดื่มระดับพรีเมียม

“นิยามตลาดเครื่องดื่มผ่านพ้นจุดฟื้นตัวแล้ว เพราะครึ่งปีหลังผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตปกติ การท่องเที่ยวเริ่มขยายตัว ทุกอย่างใกล้เหมือนเดิม”

จับชีพจร ธุรกิจมุ่งเติบโต เครื่องดื่มแสนล้าน ปี 66 โต

ถ้าดูแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มแสนล้าน ในปี 2566 บริษัทคาดการณ์หมวดน้ำอัดลมน้ำตาล 0% และศูนย์แคลอรีจะเติบโตตลอด ส่วนใดส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าจากการที่ “สิงห์” พัฒนาผลิตภัณฑ์ “สิงห์ เลมอน โซดา” น้ำตาล 0% ช่วยปลุกตลาดให้มีความครึกครื้นอย่างยิ่ง จากที่ผ่านมา มีเพียงกลุ่มน้ำดำไม่มีน้ำตาล ที่มีสินค้าน้ำตาล 0% ตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ

นอกเหนือจากนี้ เครื่องดื่มที่ตอบปัญหาผู้ซื้อรักสุขภาพยังคงเติบโต เหตุเพราะเทรนด์ดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นในระยะยาว รวมถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เพราะผู้ซื้อยินดีจ่ายแพงขึ้น หากสินค้ามีคุณภาพ และให้ท่านผลดีด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างแท้จริง

รวมถึงสินค้าที่ลดการมีผลเสียต่อสภาพแวดล้อมหรือโลก ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน จะมีผลต่อองค์กรธุรกิจเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งสิงห์ขานรับกระแสดังกล่าว ด้วยการิออกบรรจุภัณฑ์เบียร์ “Singha Sustainable Pack” เปลี่ยนจากพลาสติกมาใช้ กระดาษที่ย่อยสลายได้ 100% ฯลฯ

ส่วนตลาดที่ลดความร้อนแรงลง คาดว่าจะเป็นน้ำผสมวิตามินหรือวิตามิน วอเตอร์ หลังจากช่วงโควิด-19 ระบาด มีการเติบโตสูงแบบก้าวกระโดด

ยิ่งไปกว่านี้ ครึ่งปีแรกแนวทางตลาดเครื่องดื่ม จะมีการเติบโตสูงมากมาย เมื่อเทียบตอนเดียวกันของปีก่อนซึ่งยังอยู่ในช่วงตลาดเปิดไม่เต็มที่ อีกทั้งหน้าร้อนป็นไฮซีซั่น การเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวเยือนไทยเพิ่มขึ้น จะยิ่งกระตุ้นการบริโภคเพิ่ม

“เครื่องดื่มถือเป็นหนึ่ในปัจจัยสี่สำคัญต่อการดำรงชีพของผู้บริโภค และน้ำดื่ม น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ฯราคาไม่สูง จึงคาดว่ายังเติบโตได้ในปี 2566 แต่หากเจาะตลาดน้ำอัดลมน้ำตาล 0% คาดว่าเป็นหมวดที่จะโตสูง เพราะการที่สิงห์ เลมอน โซดา ลงมาเล่นในตลาด ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่ม รวมถึงสินค้าพรีเมียมจะโตกว่าสินค้าทั่วไปหรือแมส เพราะเทรนด์สุขภาพทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อสิ่งที่กินดื่มแล้วดีต่อตนเอง”

จับชีพจรยักษ์คอนซูเมอร์ปี 66

เงินลงทุนสูงโจทย์ท้าทายธุรกิจ

แต่ว่าความท้าสำหรับการทำตลาดปี 2566 ยกให้ภาวะเงินลงทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงมากขึ้น มีผลต่อความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการทำกำไรค่อนข้างจะมาก โดยหน่วยงานยักษ์ใหญ่อย่างสิงห์ รับหลักการซีอีโอ “ภูริต ภิรมย์ภักดี” สำหรับการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อไม่ผลักภาระหน้าที่ให้ผู้บริโภค พยายามตรึงราคาสินค้าให้นานที่สุด

“ต้นทุนเป็นเรื่องท้าทายการขับเคลื่อนธุรกิจปี 2566 โดยเฉพาะผู้เล่นใหม่ที่จะเข้ามา หากผลิตและจำหน่ายสินค้าราคาเท่าเจ้าเดิมในตลาด ค่อนข้างยาก เพราะทุกคนแบกรับภาระต้นทุนไว้ โดยไม่ผลักภาระต้นทุนที่ขึ้น 100%ให้ผู้บริโภค เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้มาร์จิ้นผู้ประกอบการบางลง แต่ผู้ที่อยู่ในธุรกิจมาก่อน มีศักยภาพในการบริหารจัดการต้นทุนได้”

ทุกวิกฤติ มีโอกาสเสมอ

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ตลาดเครื่องดื่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยชาเขียวพร้อมดื่มปี 2565 ตลาดมูลค่า 13,840 ล้านบาท เติบโต 23% ซึ่งเป็นหมวดใหญ่ที่เติบโตสูงเป็นอันดับ 1 ส่วนแนวโน้มปี 2566 คาดการณ์ตลาดจะเติบโตอย่างน้อย 10% ค่าตลาดอยู่ที่ 15,200 ล้านบาท เนื่องด้วยท่องเที่ยวฟื้นตัว ไตรมาส 1 เป็นไฮซีซั่นของเครื่องดื่มโดยรวม ตลอดจนการลงทุน ที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว เงินสะพัดในระบบ มาตรการกนะตุ้ยเศษฐกิจของภาครัฐในโครงการช้อปดีมีคืน ทำให้ลูกค้ามีเงินใช้จ่าย ฯลฯ

ส่วนเครื่องดื่มปี 2566 จะลดความร้อนแรง คาดว่าเป็นหมวดฟังก์ชันนอล และวิตามิน วอเตอร์

ยิ่งไปกว่านี้ ตัน มีธุรกิจหลายจำพวกทั้งเครื่องดื่ม ของกิน อาคารสำนักงาน บังกะโล รวมทั้งตลาดนัด พบว่าทุกเซ็กเตอร์มีความรื่นเริง ดังเช่น โรงแรมที่เชียงใหม่ มีนักท่องเที่ยว เข้าพักเป็นชาวไทยและต่างชาติ 50%เท่ากัน

แต่สิ่งที่แตกต่างจากก่อนโควิด คือ ต่างชาติเดิมเป็นจีน 90% ปัจจุบันนี้เป็น อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศสิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ฯ เข้ามาแทนที่ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มนักเดินทางกำลังซื้อสูง ส่วนตลาดนัดหลายแห่ง ปริมาณลูกค้าเข้าใช้บริการมากมาย จนสามารถเก็บค่าใช้จ่ายสำหรับบริการจอดรถยนต์ และใช้ห้องอาบน้ำมากยิ่งกว่าตอนก่อนตอนโควิดด้วย

“ตลาดเครื่องดื่มปี 2566 จะกลับมาเติบโต หลังจากผู้ประกอบการเงียบไปพักใหญ่ในการทำตลาด ส่วนผู้บริโภคทั้งที่มีเงินและไม่มีเงินจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ในช่วงโรคระบาด เพราะมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า แต่สิ้นปีจนถึงขณะนี้คนเริ่มมีกำลังซื้อ นักท่องเที่ยวกลับมา และมีความรู้สึกอยากใช้เงิน ไม่มีใครไม่กินไม่เที่ยว ทั้งในและต่างประเทศ”

สิ่งที่เป็นโอกาสปี 2566 ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าวิกฤติโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก หรือซัพพลายในตลาดน้อยลง เช่น 30% แต่ยอดขายเพิ่มขึ้น 10% สะท้อนว่ามีส่วนต่างเติบโต แต่การดำเนินธุรกิจปีนี้ ผู้ประกอบการต้องมี “กำลังใจ” สำคัญมาก ขยันยิ่งขึ้น 2-3 เท่าตัว อดทนสร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้อยู่ได้ท่ามกลางทุกวิกฤติ

“จริงๆผมได้ดีเกือบทุกครั้งเพราะวิกฤติ เนื่องจากบริษัทค้าขายเพียงเล็กน้อย จำหน่ายสินค้าราคา 10-20 บาท ส่วนโรงแรมหลักพันบาทต่อคืน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมหภาคมากนัก แต่ยอมรับว่าการดำเนินธุรกิจภายใต้วิกฤติ ทำให้ผู้ประกอบการจะท้อ คิดมากและหายจากตลาดหรือออกจากธุรกิจ แต่สิ่งที่ผมบอกเสมอคือ วิกฤติเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง เมื่อลงต้องขึ้นอีกรอบ และกลับมาจะแรงกว่าเดิม เหมือนเป็นการล้างกระดานใหม่ ซึ่งคนแข็งแรงจึงจะอยู่ได้”

ทั้งนี้ ตัน ผ่านมา 3-4 วิกฤติ หลังต้มยำกุ้งปี 2540 แต่สามารถสร้างยอดจำหน่ายเติบโตเช่นเดียวกับปี 2565 ที่ยอดจำหน่าย และกำไร สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ และปี 2566 บริษัทยังกำหนดจุดมุ่งหมายยอดชายเติบโตไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 20% ผ่านอุบายออกสินค้าใหม่ หาตลาดใหม่ เช่น ฟิลิปปินส์ และกำลังศึกษาตลาดเวียดนามอีกครั้ง เพื่อหาโอกาสเพิ่มเติม ส่วนสถานการณ์เงินลงทุนแพง คิดว่าผ่านวิกฤติกังกล่าวแล้ว หลังเกิดการรบ รัสเซีย-ยูเครน ขั้นแรก

คอนซูเมอร์ปี 66 ผ่านจุดฟื้นตัว

ไลอ้อน ฟันธง สินค้าต้อง ธุรกิจมุ่งเติบโต

บุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ปี 2566 หลายภาคส่วนมองทิศทางธุรกิจกำหนดได้ยากขึ้น เนื่องจากบางส่วนคาดการณ์เศรษฐกิจถดถอย กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ขณะที่บริษัทมองว่าโอกาสยังเติบโตได้ จากปัจจัยนักท่องเที่ยวเช้ามาเยือนประเทศไทยมากขึ้น หนุนอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญขับเคลื่อนจีดีพีให้ขยายตัว

นอกจากนั้น รัฐยังออกมาตรการช้อปดีมีคืน ปลุกกำลังซื้อ ที่ขาดไม่ได้เป็นการเลือกตั้ง จะก่อให้มีเงินผันสู่ ระบบเศรษฐกิจ เพิ่มอำนาจการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และมีผลต่อตลาดผลิตภัณฑ์ อุปโภคบริโภค หรือสินค้าจำเป็นให้กลับมาเติบโตได้อีกที หลังจากปี 2565 ตลาดชะลอตัว และได้รับผลพวง จากภาวการณ์ต้นทุนวัตถุดิบ ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงมากมายเป็นเท่าตัว แต่ผู้ประกอบการไม่อาจจะขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ได้ เนื่องจากบางหมวดเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมราคาโดยภาครัฐ

ทั้งนี้ผลประกอบการบริษัทมีรายได้ระดับหมื่นล้านบาท หดตัวลง 2% จากผลกระทบเงินลงทุนแพง ส่วนปี 2566 ตั้งความมุ่งหมายยอดจำหน่ายเติบโต 5-6% ให้มองดูระดับ 10% ยอมรับเป็นเรื่องยาก ส่วนสินค้าผู้แสดงนำชายในปีนี้ ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลากหมวด อย่างเช่น น้ำยาล้างจานไลปอนเอฟ ผงซักผ้าเปา ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากซอสเทมม่า ฯลฯ

“ปีที่แล้วต้นทุนวัตถุดิบแพง แล้วค่าเงินบาทอ่อนกระทบการนำเข้า แต่สินค้าเราขึ้นราคาไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องลดการใช้จ่ายทางการตลาด สื่อสารกับผู้บริโภคน้อยลง แต่ปีนี้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคคาดว่าดีขึ้น ซึ่งคนจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวฟื้น อาหารการกินเติบโต โครงการช้อปดีมีคืนการเลือกตั้งน่าจะทำให้ประชาชนมีเงินสะพัด”

เดิน-วิ่ง 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ‘สุวัจน์’ ปั้นโคราชเมืองกีฬา

เดิน-วิ่ง 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” นายกสภา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา’ ปั้นโคราชเมืองกีฬา ดันท่องเที่ยวโต กระตุ้นเศรษฐกิจ

5 ม.ค. 2566 เวลา 15.00-17.30 น. ณ NRRU STADIUM มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครราชสีมา “นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” นายกสภา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานเดิน-วิ่ง “NRRU 100th Anniversary RUN 2023” ร่วมพลังเคลื่อน โคราช เมืองกีฬา ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจโคราช

โดยมี โดยมี “ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์” อธิการบดี, “ผศ.ดร.สุดาใจ โล่งนิชชัย” ที่ปรึกษาอธิการบดี นายมนตรี จงวิเศษ นายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยราชภัฏนครนครราชสีมา นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา พร้อมทีมคณะบริหารส.ท,ส.จ.พรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมกับคณาจารย์ นักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

“นายสุวัจน์” บอกว่า ในช่องทางที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้อายุครบ 100 ปี ตั้งแต่สมัยเป็นสถานที่เรียนฝึกหัด แล้วมาเป็นสถาบันและก็มาเป็นมหาวิทยาลัย ภารกิจหลัก มหาลัยราชภัฏหมายถึงการที่จะมีส่วนร่วมสําคัญสำหรับการพัฒนาท้องถิ่นนอกจากงานทางด้านวิชาการ แล้วมีความรู้สึกว่า 100 ปีที่ผ่านมานั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏก็ส่งผลงานเป็นที่กระจ่างกับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา สำหรับในการมีส่วนร่วมสำหรับการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา ทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม กระทั่ง เป็นจังหวัดที่นับว่ามีพื้นฐาน มีฐานะทางด้านเศรษฐกิจที่ดี

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ

ในโอกาสครบรอบ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา การจัดกิจกรรมเดิน-วิ่ง “NRRU 100th Anniversary RUN 2023”

ถือเป็นการ kick off ของโปรแกรมของมหาวิทยาลัย โดยมีเป้าประสงค์ ดังนี้

  1. เป็นการขับเคลื่อน โคราชเมืองกีฬา ด้วยการเชิญชวนประชาชนทั่วไป ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และบุคลากรของมหาวิทยาลัย มาออกกาลังกายด้วยการเดิน-วิ่งเพื่อ สุขภาพ
  2. เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวสถานที่สำคัญในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมา เช่น วัดพระนารายณ์ ศาลหลักเมือง อนุสาวรีย์ย่าโม วัดพายัพ เป็นต้น โดยกำหนดให้นักวิ่งวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่สาคัญ
  3. เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในเขตเมืองโคราชทั้งในส่วนของการคมนาคมขนส่ง โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านจาหน่ายของฝากของที่ระลึก

ภารกิจต่างๆที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจะมีต่อไปนั้น จำเป็นจะต้องสอดคล้อง กับพื้นฐานของโครงการ สำหรับการพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา อาทิเช่นพื้นฐานของ จังหวัดนครราชสีมาต่อไปนั้น ควรเป็นจังหวัดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างแน่ๆ เพราะเหตุว่าโคราชมีโครงสร้างเบื้องต้นจากภาครัฐ มีรถไฟความเร็วสูง มีมอเตอร์เวย์ต่อไปคนจะมาโคราชก็ไม่ใช่ 4 ชั่วโมงแล้วบางทีอาจจะเหลือชั่วโมงกว่า ถ้ารถไฟความเร็วสูงเสร็จ ความเร็วสูงก็เป็นวิ่งราวๆร้อยกว่ากิโลต่อชั่วโมง ก็บางครั้งอาจจะเหลือเพียงชั่วโมงสิบนาที เพราะฉะนั้น ต่อไปนักลงทุน นักท่องเที่ยวจะมาโคราชเพิ่มมากขึ้น

โดยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏก็ดูแล้วว่าต่อไป เอาการท่องเที่ยวเป็นแกนหลัก ในเรื่องของการวางโครงสร้างรากฐาน สำหรับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้ใส่คล้องกับโครงสร้างรากฐานทางด้านการคมนาคม อย่างในตอนนี้ที่ราชภัฏได้ทํามาตลอดก็คือ

โครงการของสวนธรณีโลก นครราชสีมา ได้รับการพิจารณาการประเมินเป็น UNESCO Global Geopark ของที่ ประชุมสมาชิกสภาจีโอพาร์คโลก ณ สตูลยูเนสโกโกลบอลจีโอพาร์ค โดยทาง UNESCO จะประกาศผลของการรับรองอย่างเป็นทางการ ในเมษายน 2566 ก็จะเป็นเป็นข่าวใหญ่ ข่าวดีของเมืองไทย

โคราชเมืองกีฬา

และนี่คือ อีกหน้าที่หนึ่งของมหาลัยราชภัฏ สำหรับการที่จะเข้าไปบริหารสวนธรณีโลก

โดยเชื่อมโยงกับ มรดกโลก ที่เขาใหญ่ เชื่อมโยงกับแหล่งสงวนชีวมณฑลที่สะแกราช ก็เสมือนเป็นยูเนสโก้ รูทติ้ง ทางด้านการท่องจำเที่ยว โดยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยราชภันครราชสีมา จะพัฒนาอะไรถัดไป นอกจากงาน ทางด้านวิชาการแล้ว พวกเราก็จะมองลักษณะเด่นของเมืองนครราชสีมาด้วยว่าในการเติบโตถัดไป มหาวิทยาลัยจะมีส่วนอะไรที่อยู่ในการที่จะสนองตอบรากฐานในอนาคตถัดไป

ด้าน “ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา พูดว่า ข้อความสำคัญที่จะกลับโฉมมหาวิทยาลัย เบื้องต้นคือ

1.การเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น เราปรับโฉมใหม่ มีการทบทวนและสร้างต้นแบบแต่ละพื้นที่ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏต้องมีนวัตกรรมลงพื้นที่ จึงจะถือได้ว่า เราเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น

2.เรื่องของทริปเปิลคราวน์ (Triple Crown) เป็นรูปธรรมชัดเจน โดยมหาวิทยาลัยจะร่วมมือกับจังหวัดกับททท. กับภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทําเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้เราจัดงบประมาณลงพื้นที่ที่อำเภอขามทะเลสอ 10 ล้านบาท ฉะนั้น เรื่องของการพัฒนาท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องหลักของมหาวิทยาลัยที่จะพลิกโฉม

ส่วนเรื่องการเรียนการสอนตอนนี้เราพลิกรูปแบบใหม่ว่า กลุ่มเป้าหมายในการเรียนการสอน ที่จะรับมาเป็นนักศึกษาไม่ใช่เฉพาะเด็ก ม.6 แต่จะเป็นประชาชนทั่วไปจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เป็นไลฟ์ long learning ยูนิเวอร์ซิตี้ หรือ รูปแบบหลักสูตรจะเปลี่ยนใหม่ พลิกโฉมใหม่ ตอนนี้ทําไปหลายหลักสูตรแล้ว

“จะพลิกโฉมเรื่องของการปฏิรูปการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นให้เด็กมีงานทําในระหว่างเรียน ที่เรียกว่า โครงการสหกิจ ซึ่งจะซัพพอร์ตกันในเรื่องนี้ ฉะนั้น รูปแบบมหาวิทยาลัยราชภัฏ ไม่ได้เน้นเฉพาะวิชาชีพทางด้านครู แต่ตอนนี้มีการเสริมในเรื่องของทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ล่าสุด เปิดคณะพยาบาลศาสตร์ก็ได้รับความนิยมมาก มหาวิทยาลัยราชภัฏไม่ได้เป็นแค่มหาวิทยาลัย เราจึงใช้สโลแกนว่า Beyond the University คือเป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย” อธิการบดี กล่าว

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา มีกำหนดจัดงาน NRRU 100th Anniversary Run 2023 ขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2566 ซึ่งกิจกรรม ประกอบด้วย NRRU Fun run ระยะ 5 กิโลเมตร เส้นทางภายในมหาวิทยาลัย ปล่อยตัวในเวลา 05.30 น. , NRRU Mini marathon ระยะ 10 กิโลเมตร เส้นทางวิ่งเข้าสู่ตัวเมืองนครราชสีมา ปล่อยตัวในเวลา 05.00 น. และวิ่งสะสมระยะทาง (Virtual run) พร้อมกันนี้ยังมีโล่รางวัลให้กับผู้ชนะเลิศ, รองชนะเลิศอันดับ 1 , รองชนะเลิศ อันดับที่ 2 และรางวัลพิเศษ ประเภทวิ่งแฟนซี ผู้ที่เข้าเส้นชัยจะได้รับ

"พิธา" โชว์วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งเป้าระดับโลก เริ่มจากท้องถิ่น

“พิธา” โชว์วิสัยทัศน์ เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้ ไทยโตเยอะ แต่ยังรั้งกลางตารางอาเซียน เผยหลักคิด “ก้าวไกล” วางเป้าไประดับนานาชาติ จำเป็นต้องเริ่มจากเขตแดน ชู “น้ำประปาดื่มได้” เป็นตัวอย่างสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์หลักการเศรษฐกิจดิจิทัลในประเด็น “เทรนด์ใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล และ ยุทธศาสตร์ด้านของใหม่เพื่อความคงทน” ร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ 5 พรรค ในงานเสวนา “Next Step Thailand 2023 ทิศทางแห่งอนาคต” ความตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในตอนนี้มีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15% ต่อปี

โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับได้ว่าเป็นอัตราที่ดีเมื่อเทียบกับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้งระบบ ที่จีดีพีคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ราวๆ 3% แต่กระนั้นหากเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนด้วยกัน จะพบว่าประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของอาเซียน ทั้งในด้านคาดการณ์การเติบโต และ ปริมาณการลงทุน และ เมื่อหันมาดูด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล จะพบว่ารัฐบาลได้ให้งบประมาณด้านแผนงานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัลแค่ 980 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.03% ของงบประมาณทั้งหมดทั้งปวง

ส่วนงบประมาณด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 7.36 พันล้านบาท ส่วนมากกลับไปอยู่ที่กรมโยธาธิการ และแผนผังเมืองของกระทรวงมหาดไทย ถึง 7.16 พันล้านบาท ซึ่งไม่ตอบโจทย์สำหรับในการสร้างยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยตรง

พิธา

นายพิธา พูดว่า การก้าวไปสู่ เศรษฐกิจดิจิทัล ของเมืองไทย

จะต้องมีต้นเหตุที่เกิดจากการอาศัยบทบาทของภาครัฐ ที่จำเป็นต้องเข้าไปปรับยุทธศาสตร์ กฎหมาย และโครงสร้างเบื้องต้นด้านดิจิทัลที่ยังล้าหลัง ขัดขวางการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเข้าไปมีบทบาทสนับสนุนทั้งยังในด้านอุปทาน เป็นต้นว่า การเพิ่มงบประมาณให้ได้สัดส่วนกับจุดสำคัญ การลดขั้นตอนในระบบราชการ การผลักดันและส่งเสริมด้านงบประมาณ และการผลักดัน และ ส่งเสริมบ่มเพาะเอกชนที่มีศักยภาพ

ส่วนในด้านอุปสงค์ เป็นการที่รัฐเข้าไปเล่นบทบาทลูกค้ารายแรกๆให้สตาร์ทอัพเติบโตได้ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน และ ที่สำคัญคือการเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และ อุตสาหกรรมใหม่ๆซึ่งเป็นเหตุผลให้หลักคิดด้านแนวทางเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคก้าวไกล มองว่าการกำหนดจุดหมายแม้จะจะต้องไปให้ถึงระดับโลก หรือระดับภูมิภาคอาเซียน แต่การปฏิบัติจริงที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องมาจากพื้นฐานที่สำคัญที่สุด นั่นเป็นในระดับท้องถิ่นของประเทศ ที่ปัจจุบันยังเต็มไปด้วยวิกฤติคุณภาพชีวิตและปัญหาของพลเมือง

นายพิธา กล่าวว่า ขอยกตัวอย่างการทำน้ำประปากินได้ที่เทศบาลตำบลบางทีอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด โดยคณะก้าวหน้า ซึ่งไปถึงเป้าหมายแล้วสำหรับในการพัฒนาคุณภาพของน้ำประปา และ กำลังเริ่มจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี IoT (internet of things) ที่จะทำให้กระบวนการผลิตน้ำไปกระทั่งถึงการจ่ายค่าน้ำประปาของประชากรเข้าระบบดิจิทัลทั้งหมด

นี่เป็นแบบอย่างของการทำให้ปัญหาของพลเมืองกลายเป็นโอกาสสำหรับในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อการโต้ตอบทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ คุณภาพชีวิตของ ประชากรไปพร้อมกัน

“อาจสามารถ เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมของการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อลดความแตกต่าง ขจัดปัญหาของประเทศและของสามัญชน จากการจัดการกับปัญหาของอาจสามารถ ไปสู่การจัดการกับปัญหาของสามัญชนในภาคอีสาน

ส่งผลให้เกิดการจัดการปัญหาของพลเมืองภาคอื่นๆ และของพลเมืองทั่วทั้งประเทศ และ ของอาเซียนต่อไป นี่คือโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแบบพรรคก้าวไกล เป็นตั้งความมุ่งหมายให้ไปไกลถึงสุดยอด

แต่เริ่มการปฏิบัติจากระดับเขตแดน เปลี่ยนวิกฤติของเราให้เป็นช่องทางใหม่ๆซึ่งจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการกระจายอำนาจ การมีงบประมาณที่เพียงพอในระดับท้องถิ่น และ กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาไปพร้อมเพียงกันด้วย” นายพิธา กล่าว…

เศรษฐกิจดิจิทัล

“พิธา”ชี้กระจัดกระจายอำนาจเพิ่มงบท้องถิ่น-ใช้เทคโนโลยีแก้แตกต่าง

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงการณ์ในงานเสวนาหัวข้อ NEXT STEP THAILAND 2023 แนวทางแห่งอนาคต จัดโดยเครือเนชั่น ตอนหนึ่งว่า ช่วงนี้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเปรียบเทียบเทียบกับอาเซียนในลำดับ 6 แพ้หลายประเทศ พวกเราเติบโตช้าที่สุด สะท้อนระบบนิเวศน์ที่มีปัญหา งบประมาณของเศรษฐกิจดิจิทัล 980 ล้านบาท พอๆกับ 0.03% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณด้านสมาร์ท ซิตี้ 7 พันล้านบาท ส่วนใหญ่งบกระจุกที่กรมโยธาธิการ และ แปลนเมือง สะท้อนความไม่ใส่ใจของรัฐบาลปัจจุบันนี้

ซึ่งเศรษฐกิจดิจิทัลแบบก้าวไกล จะต้องคิดไกลกว่าเมืองไทย อย่างน้อยก็ระดับอาเซียน โดยการปฏิบัติอยู่ที่แคว้น ควรมีพื้นฐาน มีวิธีการที่ชัดเจน มีข้อบังคับที่ล้ำยุค และโครงสร้างฐานราก ระบบอินเตอร์เน็ต รวมทั้งคน ดูอย่างบางทีอาจสามารถ สมาร์ท ซิตี้ มีระบบเทคโนโลยีให้บริการประชากร ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องประปา ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือ การไม่กระจัดกระจายอำนาจ เมื่อเขตแดนงบประมาณไม่เพียงพอ จำเป็นต้องขอการสนับสนุนจากกองทุนดิจิทัล

“รัฐบาลของเราต้องมีวิธีคิดที่ดี ต้องใช้เศรษฐกิจดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน พร้อมกับสร้างอุตสาหกรรมแบบใหม่ๆ ซึ่งเป้าหมายระดับภูมิภาค เป้าหมายระดับโลก เราต้องแก้ปัญหาระดับท้องถิ่นก่อน” นายพิธา กล่าว

ยิ่งกว่านั้น นายพิธา กล่าวต่อว่า ปัญหาที่ประชากรสะท้อนเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับบริการอินเตอร์เน็ตแพง กสทช. ต้องดูแลเรื่องการควบรวม หากประชากรมีทางเลือกน้อยลง การแข่งขันก็ทำได้ยาก และ รัฐบาลก็มีส่วนช่วยในเรื่องเงินลงทุนให้ถูกลงได้ ผ่อนหนักเป็นเบา