Category: ข่าวเศรษฐกิจ

ทีเอ็มบีธนชาต เตรียมคิดดอกเบี้ยผ่อนรถยนต์แบบลดต้น ลดดอก เริ่ม 21 เดือนพฤศจิกายน 65

ทีทีบีไดรฟ์ ( ทีเอ็มบีธนชาต )พร้อมคิดดอกเบี้ยลดต้น ลดดอก กับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ฉบับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เริ่มให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 65 นี้ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าไม่ต้องรอออกรถปี 66 เพราะว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในขาขึ้น

นายชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ผลิตภัณฑ์ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ttb บอกว่า ทีทีบีไดรฟ์ หรือ ttb DRIVE ขานรับปรับมาตรการตามประกาศคุมสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) ที่ได้ออกประกาศฯ เมื่อวันที่ 12 เดือนตุลาคม 2565 เกี่ยวกับการกำหนดเพดานดอกเบี้ยค่าเช่าซื้อรถยนต์ ตามกลไกตลาด โดยคำนวณดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) ดังนี้

กรณีรถยนต์ใหม่ การคิดอัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 10% ต่อปีต่อกรณีรถยนต์ใช้แล้ว ต้องไม่เกิน 15% ต่อปี โดยต้องมีตารางคำนวณค่าผ่อนส่งอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้น ลดดอก พร้อมกันไปกับสัญญาพ่วงของสัญญาเช่าซื้อ รวมถึงเรื่องปิดบัญชีก่อนที่จะครบกำหนด จำต้องคิดส่วนลดดอกเบี้ยในส่วนที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่าย

สำหรับบุคคลปกติ

-ที่ชำระค่างวดมาแล้วไม่เกิน1/3 รับส่วนลด60%
-ที่ชำระค่างวดมาแล้วเกิน1/3 รับส่วนลด70%
-ที่ชำระค่างวดมาแล้วเกิน2/3 รับส่วนลด100%
-การคิดเบี้ยปรับจากการชำระล่าช้า จะถูกคิดตามอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5% ต่อปี

ทีทีบีไดรฟ์

ทั้งนี้ ตามประกาศของ สคบ.จะมีผลบังคับใช้กับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป แต่ทาง ทีเอ็มบีธนชาต

ได้เล็งเห็นผลประโยชน์ของลูกค้าและคู่ค้าเป็นหลัก ให้สามารถบริหารจัดการทุนการเงินได้ดีขึ้น เพื่อมีชีวิตทางการเงินดีทั้งในวันนี้และอนาคต ก็เลยจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยส่งผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2565 ก่อนที่จะครบกำหนด 2 เดือนตามประกาศฯ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

สำหรับลูกค้าเก่าที่ทำสัญญาไว้กับทีทีบีไดรฟ์ ก่อนวันที่ 21 พ.ย. 65 ดอกเบี้ยจะไม่มีความเคลื่อนไหวจวบจนกระทั่งจะสิ้นสุดสัญญา ส่วนลูกค้าใหม่ที่เริ่มทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2565 เป็นต้นไป

โดยทางธนาคารจะปรับอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามประกาศของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคใหม่ทันที การที่ ทีทีบีไดรฟ์ เริ่มใช้ประกาศนี้ก่อนที่จะครบกำหนดในปีนี้ เพื่อทำให้ลูกค้าไม่ต้องรอที่จะไปออกรถปีหน้า ขณะที่คู่ค้าก็มีความมั่นใจว่า สามารถขายรถได้ในปีนี้

“ทีทีบีไดรฟ์ สนับสนุนและมองว่ามาตรการดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถของ สคบ. จะสร้างมาตรฐานของการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว แม้ว่าปัจจุบันดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อของ ทีทีบีไดรฟ์ จะอยู่ภายใต้กรอบของเพดานดอกเบี้ยข้างต้นอยู่แล้ว และมีผลกระทบต่อธนาคารน้อย เนื่องจากมีพอร์ตสินเชื่อค่อนข้างใหญ่ และมีการปรับตัวรับการแข่งขัน ประกอบกับมีมาตรการดูแลบริหาร และกระจายความเสี่ยงที่ดีอยู่แล้ว”

นอกจากนั้น ทางทีทีบีไดรฟ์ มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่รอให้บริการลูกค้าด้านสินเชื่อรถยนต์ทุกวัน ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วทั้งประเทศไทย เพื่อลูกค้าได้รถอย่างที่ตั้งใจ คุ้มค่ามากที่สุด ด้วยมาตรฐานการให้บริการของทีทีบีไดรฟ์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการ

สำหรับผู้ที่วางแผนจะซื้อรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ใหม่ หรือรถยนต์ใช้แล้ว สามารถยื่นขอสินเชื่อกับทีทีบีไดรฟ์ได้ทันที ไม่ต้องรอถึงปี 2566 ตามประกาศของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะเหตุว่าตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 65 นี้ ลูกค้าใหม่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยแบบใหม่โดยอัตโนมัติ

หากรอปีหน้าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาขึ้น อีกทั้งปริมาณรถยนต์บางทีอาจผลิตไม่ทันกับความอยากของผู้ที่จะซื้อรถ จากการคาดการณ์ว่า ประชาชนปริมาณมากจะตัดสินใจซื้อรถภายหลังมาตรการมีผลบังคับใช้ตามประกาศอย่างเป็นทางการ

ttb DRIVE

ttb ชี้เงินบาทเริ่มอ่อนค่า 4วันต่างชาติขายสุทธิ 3.3พันล้าน

ttb ชี้ เงินบาทเปิดตลาดแข็งค่าเล็กน้อย จากระดับก่อนหน้า ชี้ทิศทางเงินบาทเริ่มอ่อนค่า พบ 4วันทำการต่างประเทศขายสุทธิหุ้น-บอนด์ 3.3พันล้าน

ฝ่ายธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) เผยออกมาว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด 35.83 บาท

แข็งค่าขึ้นนิดหน่อยจากราคาปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 35.85 บาท/ดอลลาร์

โดย เงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าอีกทีในช่วงปลายอาทิตย์จากที่นักลงทุนต่างประเทศเริ่มเทขายทำกำไรทั้งในตลาดพันธบัตร และ ตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ตั้งแต่ วันที่ 14-17 พ.ย.2565 ตลาดพันธบัตรเริ่มทยอยขายสุทธิ 16,075 ล้านบาท และ ตลาดหุ้นไทย วันที่ 17 พ.ย.2565 ขายสุทธิ 3,324.15 ล้านบาท

ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลลาร์ยังคงแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลหลักหลังจากจำนวนยอดปลีกของสหรัฐออกมาสูงยิ่งกว่าที่คาด และ จำนวนการจ้างงานของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับที่ตึงตัวอยู่ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกื้อหนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

โดยดูกรอบค่าเงินบาทวันนี้ เคลื่อนไหวช่วง 35.70- 36.00 บาท/ดอลลาร์

สำหรับแผนการ แนะนำผู้นำเข้า แนะนำควรจะซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อปิดความเสี่ยง

ส่วนผู้ส่งออก แนะนำขายเงินตราต่างประเทศที่เหนือระดับ 36.50

ดัชนีหุ้น ผันผวน หุ้นไทย จีนคลายล็อกดาวน์ กังวลโควิดในจีน

ดัชนีหุ้น ไทยวันที่ 15 พฤศจิกายน65 ปิดที่ 1,629.38 จุด บวก 6.00 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 61,702.54 ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิ 437.79 ล้านบาท หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 33.50 บาท ลบ 0.50 บาท, PTTEP ปิด 184.50 บาท ลบ 4 บาท, KBANK ปิด 144.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, AOT ปิด 75.75 บาท บวก 0.50 บาท, CPF ปิด 24.40 บาท ลบ 0.60 บาท

หุ้นไทยปรับขึ้น รับแรงซื้อกลับในหุ้น Big Cap ที่ราคาดิ่งลงก่อนหน้าโดยยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มท่องเที่ยว ขณะที่ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าขึ้นมาช่วยหนุน Fund Flow ไหลเข้า

บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์น่าสนใจ ระบุตลาดจีนกลับมาฟื้นตัวอีกทีหลังมีมาตรการผ่อนคลายต่างๆที่ชี้ไปในทางเดียวกันว่าจะมีการตระเตรียมเปิดประเทศ โดยเริ่มจากการเปิดอณาเขตของทั้งประเทศฮ่องกงและไต้หวัน ถึงแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะกลับมาเร่งตัวสูงมากขึ้นในช่วงนี้ แต่จีนก็ยังมีความเพียรพยายามสำหรับในการผ่อนคลายอยู่ โดยจะเน้นจัดการในวงแคบแทนที่จะ lockdown ในวงกว้าง

รวมทั้งมีต้นสายปลายเหตุบวกจากการออกมาตรการ 16 ข้อ ที่ออกมาเกื้อหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อจัดเตรียมเปิดประเทศถัดไปในไตรมาส 2 ปีถัดไป

สำหรับลู่ทางสำหรับในการลงทุน สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น คิดว่า การทยอยผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดของจีน สร้างความหวังต่อแนวโน้มการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในปีถัดไป คาดว่าจะมองเห็นความชัดเจนใน Q2/2023 หลังการประชุม NPC ในเดือน มี.ค. ผ่านไปแล้ว หุ้นที่คาดว่าจะได้คุณประโยชน์จากจีนเปิดประเทศแนะนำ CPALL (เป้าพื้นฐาน 76 บาท), SCGP (59 บาท)

ส่วนกลุ่มกองทุนจีน การลดความเคร่งครัดของมาตรการ COVID และการกระตุ้นภาคอสังหาฯคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการยุติขาลงของเศรษฐกิจจีน แต่การเติบโตที่ลดลง, สงครามการค้าและการระบาดที่เร่งตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น

ดัชนีหุ้น หุ้นไทย

ดัชนีหุ้น ไทยปิดบวก 6 จุด

หลังจากตลาดรับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยหลักการของธนาคาเกลื่อนกลาดลางสหรัฐ (เฟด) น้อยลง จากการอธิบายของรองประธานเฟด ถึงแม้ในตลาดรองยังพบเจอกับแรงกดดันของการจำกัดการซื้อขายหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งจะต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสดแค่นั้น ส่งผลให้ ณ เวลา 17.01 น. ดัชนีปิดที่ 1,629.38 จุด เพิ่มขึ้น 6 จุด หรือ 0.37% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 61,702.54 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 610.94 จุด ต่ำลง 5.19 จุด หรือ 0.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,893.42 ล้านบาท

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก พูดว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีแรงกดดันจากปัญหากรณีหุ้นมอร์ ประกอบกับนักลงทุน ยังติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะสิ้นสุดกลางสัปดาห์นี้ ก็เลยคาดการณ์การเคลื่อนไหวในกรอบ 1,610-1,650 จุด ด้านต้นสายปลายเหตุที่จะต้องจับตาในประเทศ เช่น วันที่ 18-19 พฤศจิกายน ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิค ปี 2565 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และส่วนประกอบยานยนต์ กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

1.ปตท. ปิดที่ 33.50 บาท ลดลง -0.50 บาท

2.ปตท.สผ. ปิดที่ 184.50 บาท ลดลง -4.00 บาท

3.ธ.กสิกรไทย ปิดที่ 144.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

4.เอโอที ปิดที่ 75.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

5.ซีพีเอฟ ปิดที่ 24.40 บาท ลดลง -0.60 บาท

ดัชนีหุ้น จีนคลายล็อกดาวน์

หุ้นไทยปิดเช้าลบ 8.02 จุด ขายทำกำไรหลังจบงบประมาณ Q3/65 กลับมากังวลโควิดในจีน-รอคืบหน้าหุ้น MORE

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บล.ดาโอ (เมืองไทย) พูดว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าที่ผ่านปรับตัวลง จากแรงขายทำกำไรหนาแน่นในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากการแจ้งผลประกอบการออกมาแล้ว โดยยิ่งไปกว่านั้นแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการในช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา

นอกเหนือจากนั้น นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในประเทศจีน ในขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ในสหภาพยุโรป หลังจากที่มีมิสไซล์ 2 ลูกตกลงที่ชายแดนประเทศโปแลนด์ นอกเหนือจากนั้นยังคงจะต้องติดตามการประกาศความคืบหน้ากรณีหุ้น MORE ว่าจะออกมาอย่างไรบ้าง ซึ่งจะส่งผลต่อ Sentiment การลงทุนของตลาด ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียช่วงรุ่งเช้าที่ผ่านมาส่วนมากปรับตัวลงอย่างเดียวกัน
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายคาดว่าคาดว่าดัชนียังเคลื่อนในแดนลบต่อเนื่องจากช่วงรุ่งเช้า โดยให้แนวต้าน 1,630 จุด แนวรับ 1,615 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

  • PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,751.26 ล้านบาท ปิดที่ 188.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท
  • GULF มูลค่าการซื้อขาย 1,391.08 ล้านบาท ปิดที่ 50.25 บาท ลดลง 1.75 บาท
  • BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,202.90 ล้านบาท ปิดที่ 30.50 บาท ลดลง 0.75 บาท
  • PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,133.91 ล้านบาท ปิดที่ 33.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
  • EA มูลค่าการซื้อขาย 1,129.32 ล้านบาท ปิดที่ 95.25 บาท ลดลง 3.25 บาท

11 เดือนส่งออกข้าว 6.1 ล้านตัน พาณิชย์จัด Thailand Rice Convention 2023

กรมการค้าต่างประเทศตระเตรียมลุยแผนช่วยเหลือตลาดข้าวปี’66 จับมือผู้ส่งออกเดินหน้าทวงคืนตลาดข้าว เตรียมพร้อมจัดงานใหญ่ Thailand Rice Convention 2023 มั่นใจปีนี้การส่งออกข้าวทะลุเป้า 7.5 ล้านตัน

วันที่ 14 พ.ย. 2565 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2566 กรมได้จัดทำแผนประชาสัมพันธ์ตลาดข้าว โดยเดินหน้าแผนการ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐหนุนเอกชนนำ พร้อมร่วมมือกับผู้ส่งออกข้าวดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือตลาดข้าวไทย เพื่อรักษาและขยายตลาดในกรุ๊ปลูกค้าเดิมและแสวงหากลุ่มลูกค้าใหม่ โดยมีกิจกรรมที่จะดำเนินงานทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์

กิจกรรมดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น การกระชับความเกี่ยวข้องและสร้างความมั่นใจกับคู่ค้าสำคัญอย่างสม่ำเสมอผ่านระบบการประชุมทางไกลกับประเทศฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อิรัก และญี่ปุ่น เป็นต้น ประกอบกับในปีถัดไป กรมมีแผนสำหรับการจะจัดการประชุมข้าวนานาชาติ Thailand Rice Convention 2023 ซึ่งเป็นการสัมมนาที่ยิ่งใหญ่และสำคัญ สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงค้าข้าวโลก ที่เดินทางมาเข้าสัมมนาสัมมนาวิชาการ สร้างความร่วมแรงร่วมใจทางการค้า และพูดจาธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกข้าวและผู้นำเข้าข้าวจากทั่วทั้งโลก

นอกจากนั้น กรมยังมีแผนสำหรับการที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติทั้งในประเทศ ได้แก่ Thaifex Anuga ASIA 2023 และในต่างประเทศ ได้แก่ งาน Summer Fancy Food Showในสหรัฐอเมริกา งาน GULFFOOD 2023ในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ งาน FOOFEX 2023ในกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น งาน China-ASEAN Expo ครั้งที่ 20 (CAEXPO) 2023ในนครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน และงาน Fine Food 2023ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

Thailand Rice Convention 2023 รณรงค์ พูลพิพัฒน์

สำหรับตลาดส่งออกข้าวในปีถัดไปยังคงมุ่งเน้นไปที่ตลาดทางกรุ๊ปลูกค้าหลัก Thailand Rice Convention 2023

ตัวอย่างเช่น จีน แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และเบนิน รวมทั้งกรุ๊ปลูกค้าเดิมที่หันกลับมาสั่งซื้อข้าวไทย ตัวอย่างเช่น อิรัก เป็นต้น

ในปีนี้จัดว่าสถานการณ์การส่งออกข้าวฟื้นจากปีที่ผ่านมาอย่างมาก มองเห็นได้จากจำนวนข้อมูลกรมศุลกากรและใบอนุญาตส่งออกข้าว ในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-2 พฤศจิกายน 2565 ไทยส่งออกข้าวจำนวน 6.17 ล้านตัน เพิ่มขึ้นปริมาณร้อยละ 30.83 ค่าการส่งออก 109,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้นปริมาณร้อยละ 31.15 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยการส่งออกข้าวไทยได้รับต้นสายปลายเหตุบวกด้านต่างๆ

เช่น ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตามแนวทางของเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ทำให้ราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่สามารถแข่งกับประเทศคู่แข่งได้ ประกอบกับประเทศในตะวันออกกลางอย่าง อิรัก จอร์แดน โอมาน และอิหร่าน หันมานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

รวมทั้งในช่วงปลายปีนับว่าเป็นโอกาสทองของการส่งออกที่จะมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก เพื่อสำรองใช้ข้าวสำหรับเทศกาลในช่วงปลายปี ซึ่งสถานการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวทางการส่งออกของข้าวไทยในปีถัดไปต่อไปอีกด้วย

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผยในปี 66 กรมฯ ได้จัดทำแผนประชาสัมพันธ์ตลาดข้าว โดยเดินหน้าแผนการ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐหนุนเอกชนนำ พร้อมร่วมมือกับผู้ส่งออกข้าวดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือตลาดข้าวไทย

เพื่อรักษาและขยายตลาดในกรุ๊ปลูกค้าเดิมและแสวงหากลุ่มลูกค้าใหม่ โดยมีกิจกรรมที่จะดำเนินงานทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ เช่น การกระชับความเกี่ยวข้องและสร้างความมั่นใจกับคู่ค้าสำคัญอย่างสม่ำเสมอผ่านระบบการประชุมทางไกลกับฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อิรัก และญี่ปุ่น เป็นต้น

ประกอบกับในปีถัดไป กรมฯ มีแผนสำหรับการจะจัดการสัมมนาข้าวนานาชาติ ThailandRiceConvention2023 ซึ่งเป็นการสัมมนาที่ยิ่งใหญ่และสำคัญ สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงค้าข้าวโลก ที่เดินทางมาเข้าสัมมนาสัมมนาวิชาการ สร้างความร่วมแรงร่วมใจทางการค้า และพูดจาธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกข้าวและผู้นำเข้าข้าวจากทั่วทั้งโลก

Thailand Rice Convention 2023 ส่งออกข้าว

นอกจากนั้น กรมฯ ยังมีแผนสำหรับการที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติThailandRiceConvention2023

ทั้งในประเทศ ได้แก่ Thaifex Anuga ASIA 2023 และในต่างประเทศ ได้แก่ งาน Summer Fancy Food Showในสหรัฐอเมริกา งาน GULFFOOD 2023ในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ งาน FOOFEX 2023ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น งาน China – ASEAN Expo ครั้งที่ 20 (CAEXPO) 2023ในนครหนานหนิง เมืองจีน และงาน Fine Food 2023ในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น สำหรับตลาดส่งออกข้าวในปีถัดไปยังคงมุ่งเน้นไปที่ตลาดทางกรุ๊ปลูกค้าหลัก ตัวอย่างเช่น จีน แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และเบนิน รวมทั้ง กรุ๊ปลูกค้าเดิมที่หันกลับมาสั่งซื้อข้าวไทย ตัวอย่างเช่น อิรัก เป็นต้น

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ พูดว่า ในปีนี้จัดว่าสถานการณ์การส่งออกข้าวฟื้นจากปีที่ผ่านมาอย่างมาก มองเห็นได้จากจำนวนข้อมูลกรมศุลกากรและใบอนุญาตส่งออกข้าว ในช่วงวันที่ 1 ม.ค. – 2 พฤศจิกายน 2565 ไทยส่งออกข้าวจำนวน 6.17 ล้านตัน เพิ่มขึ้น30.83 % ค่าการส่งออก 109,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

เนื่องด้วยการส่งออกข้าวไทยได้รับต้นสายปลายเหตุบวกด้านต่างๆเช่น ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตามแนวทางของเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ทำให้ราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่สามารถแข่งกับประเทศคู่แข่งได้ ประกอบกับประเทศในตะวันออกกลางอย่าง อิรัก จอร์แดน โอมาน และอิหร่าน หันมานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้ง ในช่วงปลายปีนับว่าเป็นโอกาสทองของการส่งออกที่จะมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก เพื่อสำรองใช้ข้าวสำหรับเทศกาลในช่วงปลายปี ซึ่งสถานการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวทางการส่งออกของข้าวไทยในปีถัดไปต่อไปอีกด้วย

คริปโทเคอร์เรนซี อินโดฯเล็งคุมเข้มควบคุมดูแลด้านนี้มากขึ้น หลังตลาดป่วนปั่นอย่างหนัก

นางศรี มูลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซียเปิดเผยในวันนี้ (10 พฤศจิกายน) ว่า อินโดนีเซียวางแผนโอนย้ายการบังคับใช้กฎเกณฑ์และการดูแลดูแลการลงทุนด้าน คริปโทเคอร์เรนซี ไปอยู่ภายใต้ที่ทำการบริการทางการเงิน (OJK) เพื่อที่จะคุ้มครองนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้น

คริปโทเคอร์เรนซี 2022

CoFTRA ร่วมกันกำกับดูแลด้าน คริปโทเคอร์เรนซี ในอินโดนีเซีย

สำนักข่าวรอยเตอร์แถลงการณ์ว่า ในปัจจุบันกระทรวงกิจการค้าและที่ทำการควบคุมดูแลการ{ซื้อขาย|จำหน่าย|ค้าขาย|ซื้อขายแลกเปลี่ยน{สัญญาสินค้าสิ่งของเครื่องใช้ (CoFTRA) ด้วยกันกำกับดูแลด้านคริปโทเคอร์เรนซีในอินโดนีเซีย ซึ่งการลงทุนดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้รับความนิยมอย่างมาก โดยอินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แผนการใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายภาคการเงินที่กำลังอภิปรายกันอยู่ในรัฐสภาเดี๋ยวนี้

ปัจจุบันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับเพื่อการชำระเงินยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายในอินโดนีเซีย แต่กระบวนการทำธุรกรรมเพื่อการลงทุนนั้นได้รับอนุญาตในตลาดสินค้าสิ่งของเครื่องใช้

คริปโทเคอร์เรนซี นางศรี มูลยานี

อินโดนีเซียมีผู้ลงทุนใน คริปโทเคอร์เรนซีอยู่จำนวนมาก

นางศรี มูลยานีได้เจาะจงไว้เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาว่า อินโดนีเซียมีผู้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ที่ 15.1 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นอย่างเร็วจาก เพียง 4 ล้านคนภายในปี 2563 เทียบกับปริมาณผู้ลงทุนในตลาดหุ้นในเดือนมิย.ซึ่งอยู่ที่ 9.1 ล้านคน

“เราต้องสร้างกลไกที่แข็งแกร่งและเชื่อถือได้ในการกำกับดูแลและคุ้มครองนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง” นางศรี มูลยานีกล่าวในการอภิปรายของรัฐสภา พร้อมกล่าวว่า ตลาดคริปโทฯ ได้เผชิญกับความระส่ำระสายอย่างหนักเมื่อไม่นานมานี้

กพช.วางนโยบายเข็น แผนฝ่าพิษพลังงาน น้ำมันดีเซลมีความผันผวน

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้พิจารณาสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ยังไม่มีข้อยุติ นำมาซึ่งการทำให้ราคาปิโตรเลียมเหลว (แอลเอ็นจี) และน้ำมันดีเซลในตลาดโลกมีความผันแปร และปรับตัวมากขึ้นในระดับสูง จากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของหลายประเทศทั่วทั้งโลก ทำให้เกิดการตึงตัวของอุปทาน ปิโตรเลียมและน้ำมัน รวมถึงการอ่อนตัวของค่าเงินบาท จึงเห็นดีเห็นงามมาตรการบริหารจัดการพลังงานในสถานการณ์วิกฤติราคาพลังงาน เดือน ต.ค.-เดือนธันวาคมนี้ อาทิเช่น มาตรการตามแนวทางการบริหารจัดการปิโตรเลียม ปี 2565 การจัดหาพลังงานไฟฟ้าเสริมเติมจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งมาตรการขอความร่วมมือสำหรับเพื่อการใช้พลังงานน้อยลงในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และเร่งรัดการยินยอมและอนุญาตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

นายกุลิศสมบัติศิริ

การทำงานตามมาตรการดังกล่าวจะเทียบเท่าการลดการนำเข้าแอลเอ็นจี

พร้อมกันนี้ยังได้เห็นดีเห็นงามมาตรการเสริมเติม การขอความร่วมมือพลเมืองทั่วไป และภาคธุรกิจสำหรับเพื่อการใช้พลังงานน้อยลง มาตรการเหล่านี้จะเป็นมาตรการบังคับทันที หากราคาแอลเอ็นจีเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ 50 เหรียญต่อล้านบีทียูเป็นต้นไปต่อเนื่อง 2 สัปดาห์

กระทรวงพลังงาน

จากปัจจุบันนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 28-29 เหรียญต่อล้านบีทียู หากราคาแอลเอ็นจีขึ้นมาถึง 40 เหรียญต่อล้านบีทียู

เมื่อใดก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้พลเมืองรับรู้ อาทิเช่น ระบุเวลาเปิดปิดป้ายแอลอีดี ปิดแอร์ก่อนห้างปิดเป็นเวลา 30 นาที-1 ชั่วโมง การปรับเวลาเปิด-ปิด ในธุรกิจที่มีการใช้พลังงานสูงต้องรอพิจารณาอีกรอบ ซึ่งหากราคาพลังงานสูงขึ้นกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและสงวนพลังงานหรือ พพ. จะเป็นผู้ประเมิน อาทิเช่น ปิดปั๊มน้ำมัน ปิดร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจที่ใช้ไฟสูง

“กพช.เห็นชอบการทบทวนการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้า ตามหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ประเทศไทย ปี 2554-2558 โดยให้มีการปรับปรุงข้อความการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา 97 และเพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีที่ใช้ในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย”.