KKP คาด เศรษฐกิจไทย ปี 65 ฟื้นช้าและไม่ทั่วถึง หากแม้ท่องเที่ยวกลับมา จากการเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอย ปรับคาดการณ์เหลือ 2.8% แนะจับตา 5 การเสี่ยงสำคัญ
เศรษฐกิจโลกในปี 2023 มีความเสี่ยงไปสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น หลังจากเผชิญการเสี่ยงเงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น และการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างเร็วเพื่อชะลอเงินเฟ้อ KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมากเช่นกัน ทำให้ภาคการส่งออกบางครั้งอาจจะหดตัวลง
โดยคาดว่าในปี 2023 เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้เพียงแค่ 2.8% ปรับลดน้อยลงจาก 3.6% ในการคาดการณ์ครั้งก่อน และถือว่าเป็นการเติบโตที่ช้ากว่าปีนี้ แม้จะตั้งอยู่บนการคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็น 19.2 ล้านคนจาก 10 ล้านในปีที่ผ่านมา ทำให้ทราบภาพการฟื้นฟูสภาพในปีถัดไปว่าจะมีไม่เหมือนกันเป็นอย่างมากระหว่างภาคบริการ และภาคการผลิต
5 ประเด็นความเสี่ยง เศรษฐกิจไทย ปี 2023 (โลกถดถอย-น้ำมันแพง-เงินเฟ้อค้าง-บาทอ่อน-ดอกเบี้ยสูง)
1. เศรษฐกิจไทยเติบโตได้หรือไม่ถ้าหากเศรษฐกิจโลกไปสู่ภาวะถดถอย
KKP ประเมินว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกในปีถัดไปจะกำลังไปสู่ภาวะถดถอยแบบไม่ร้ายแรงในตอนไตรมาส 1-3 ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกของไทยในปีถัดไปหดตัวลง 1.8% จากเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาต่างชาติสูง โดยยิ่งไปกว่านั้นจากสาเหตุ 2 ประการ คือ
– อุปสงค์ของโลกที่จะปรับตัวต่ำลง จากสมมติฐานว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งนับรวมกันกว่าครึ่งเดียวของเศรษฐกิจโลก จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในตอนต้นถึงกลางปีถัดไป
– การส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งขยายตัวไปอย่างมากในตอนที่ผ่านมาได้ทำให้มีการสะสมสินค้าในสต็อก (Inventory) เอาไว้ในจำนวนมาก จนถึงความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ในตอนหลังจากนี้จะหดตัวลง อีกทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจจะส่งผลให้อุปสงค์ของการท่องเที่ยวต่ำลงได้
ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจไทย ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ (downside risk) ด้วยเหตุว่าเศรษฐกิจโลกยังมีโอกาสถดถอยร้ายแรงได้ โดยการเสี่ยงที่จีนจะปิดเมืองนานกว่าที่คาดจากการระบาดรอบใหม่ของโควิดจะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม หากแม้ในกรณีเลวร้ายเศรษฐกิจไทยคงจะยังคงไม่โตติดลบด้วยเหตุว่าไทยยังมิได้ฟื้นจากโควิดมากนัก แต่ก็จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับที่ต่ำมากมายโดยมีโอกาสเติบโตต่ำยิ่งกว่า 2%
2. ราคาน้ำมันจะปรับตัวต่ำลงได้ใช่หรือไม่
ในปี 2023 ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะต่ำลงตามราคาน้ำมันที่บางทีอาจชะลอลงโดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกไปสู่ภาวะถดถอย KKP Research ประเมินว่ายังมีการเสี่ยงที่ราคาน้ำมันบางครั้งอาจจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ ด้วยเหตุว่าราคาน้ำมันที่ต่ำลงในตอนที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่ามีสาเหตุจากการนำน้ำมันสำรองออกมาใช้
นอกเหนือจากนั้นการเปิดประเทศของจีนที่คาดการณ์ว่าจะทยอยเปิดประเทศมากขึ้นเรื่อยๆในตอนครึ่งหลังของปี 2023 กำลังจะเพิ่มอุปสงค์ต่อน้ำมันอย่างมากและสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อไทย และเงินเฟ้อบางทีอาจไม่สามารถปรับตัวต่ำลงได้เร็วอย่างที่คาดไว้ ซึ่งจะเป็นใจความสำคัญกดดันค่าครองชีพและดุลการค้าของไทยได้
3. เงินเฟ้อไทยจะปรับตัวต่ำลงได้เท่าใด
KKP Research ประเมินว่าเงินเฟ้อไทยในปี 2023 จะทยอยปรับตัวต่ำลงแต่ยังค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือมากยิ่งกว่า 3% แต่เหตุการณ์เงินเฟ้อในปีถัดไปของไทยยังมีความไม่เที่ยงสูงและมีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่เป็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ การปรับค่าไฟฟ้า และการทดแทนการอุดหนุนน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ยังมีการเสี่ยงจาก เงินเฟ้อโลกที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง การเสี่ยงเงินบาทที่ยังคงมีโอกาสอ่อนค่า และราคาน้ำมันที่บางทีอาจปรับตัวสูงขึ้นได้
4. เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าและช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อหรือไม่
KKP Research ประเมินว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลได้นิดหน่อยในปี 2023 ที่ระดับ 2% ของ GDP หลังจากเสียดุลการค้าต่อเนื่องติดต่อกันกว่า 3 ไตรมาสในปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้ามามากขึ้น การต่ำลงของราคาน้ำมัน และการต่ำลงของเงินลงทุนค่าขนส่งผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทในปีถัดไปยังมีแนวโน้มผันผวน และมีการเสี่ยงที่จะยังคงมีทิศทางอ่อนค่าได้อยู่ จาก
– ดุลบัญชีเดินสะพัดที่โอกาสติดลบในตอนไตรมาส 2 ของปีถัดไป จากปัจจัยด้านฤดูทั้งการท่องเที่ยว และ กิจการค้า สร้างการเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment)
– การคาดการณ์ผลตอบแทนตลาดหุ้นต่างประเทศจะเริ่มปรับตัวในแนวทางที่ดีขึ้นหลังจากปัญหาเงินเฟ้อจบลง ทำให้เงินลงทุนบางทีอาจไหลออกจากไทยได้
– เหตุการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation เป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับต่างประเทศค้างอยู่ในระดับค่อนข้างสูง และกดดันค่าเงินบาทต่อเนื่อง
5. ถ้าโลกลดดอกเบี้ยปีถัดไป ไทยยังจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ มีความเสี่ยงที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นหากมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ และ ค่าเงินบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจในประเทศ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในแดนติดลบมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
KKP Research ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้าโดยเป็นการขึ้นต่อเนื่องครั้งละ 25bps จนถึงระดับ 2.25% ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า ซึ่งนับเป็นความท้าทายสำคัญในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่ดี และ หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมาก
ทางสองแพร่ง – เงินเฟ้อค้าง หรือถดถอยรุนแรง
เศรษฐกิจโลกกำลังจะเจอกับปัญหาในสองทาง คือ หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแต่ไม่ถึงกับถดถอยรุนแรงโลกจะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะค้างในระดับสูงยาวนาน หรือหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน
เช่น เสถียรภาพในตลาดอสังหาฯ ปัญหาในตลาดเกิดใหม่ ปัญหาสภาพคล่อง ปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ในภาคธุรกิจ ก็จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงได้ทันที ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย
KKP Research ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงยังมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดที่ยังค้างอยู่ในระดับสูงกว่าปกติมาก และ หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายขึ้นจริงเครื่องมือนโยบายการเงินใหม่ๆ จะถูกนำกลับมาใช้เพื่อสนับสนุนตลาดได้ โดยธนาคารกลางมีแนวโน้มเลือกป้องกันความเสี่ยงในการเกิดวิกฤติหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มสูงที่จะอยู่ในภาวะ Stagflation มากกว่า
สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไป นโยบายการเงินต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ และ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน เสถียรภาพระบบการเงิน อย่างรอบคอบเพื่อปิดความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจ และ ช่วยประคองให้เศรษฐกิจในปีหน้าสามารถฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพได้