Category: ข่าวเศรษฐกิจ

เปิดแฟ้ม ครม. ตั้ง ‘พีระพันธุ์’เป็นเลขาฯนายกฯ 19 หน่วยงานชง ‘ของขวัญปีใหม่’

ครม.วันนี้ได้ฤกษ์เคาะ แพคเกจ ของขวัญปีใหม่ 66 19 หน่วยงานชงเรื่องให้ ครม.พินิจ จับตากระทรวงการคลังเสนอ ช้อปดีมีคืน พ่วงมาตรการช่วยกลุ่มเปราะบาง พลังงานดูแลราคาก๊าซหุงต้มครัวเรือน ฟรีค่าผ่านทางด่วน นายกฯขยับหมากการเมืองเสนอ ครม.เคาะ “พีระพันธุ์” นั่งเลขาธิการนายกฯ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวมาว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ 20 ธันวาคมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมเต็มคณะในอาคารสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ดังนี้ก่อนจะมีการประชุม ครม.ในเวลา 7.30 น. นายกรัฐมนตรี และภริยา จะเป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา เพื่อถวายพระพรชัยมงคลแก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาในตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล

สำหรับเพื่อการประชุม ครม.วันนี้มีวาระการพิเคราะห์ที่สำคัญหลายวาระ โดยหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเมืองรายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเสนอขอความเห็นจาก ครม.ในการแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ลาออกจากการเป็นที่ขอคำแนะนำนายกรัฐมนตรี มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แทนนายดิสทัต โหตระกิตย์ ที่ลาออกจากเลขาฯนายกฯไปเป็นที่หารือ นายกรัฐมนตรี

ของขวัญ ปีใหม่

ทั้งนี้ ครม.จะมีการตรึกตรองวาระสำคัญของรัฐบาล เรื่องการดำเนินโครงการเพื่อมอบเป็น ของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2566

ให้แก่สามัญชน โดยจะเสนอเป็นแพคเกจของขวัญวันปีใหม่ของรัฐบาลจำนวน 19 หน่วยงาน โดยมาตรการของขวัญสำหรับวันปีใหม่ที่น่าสนใจยกตัวอย่างเช่น กระทรวงการคลัง เสนอมาตรการช้อปดีมีคืน โดยผ่อนผันภาษีสูงสุดคนละไม่เกิน 4 หมื่นบาท โดยมาตรการจะส่งผล 1 มกราคม-15 ก.พ.2566 รวมระยะเวลา 46 วัน และมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติม

นอกจากนั้นกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬาจะเสนอขอเลื่อนเวลาเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น.จากเดิม 02.00 น. ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเศรษฐกิจในภาคกลางคืน โดยล่าสุดจะเสนอขอขยายเวลาแค่เพียงจ.ภูเก็ตแค่จังหวัดเดียวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ นอกเหนือจากนี้ นอกจากนี้จะเสนอของขวัญสำหรับวันปีใหม่ 2566 ให้กับประชากรร่วมกับ โครงการอื่นๆ เช่น พวกเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 จำนวน 1.5 ล้านสิทธิ ใช้งบประมาณอยู่ที่ 5,400 ล้านบาท ส่วนอีก 3,300 ล้านบาท จะใช้จัดทำมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย

กระทรวงคมนาคม เสนอร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ ทางหลวงพิเศษ เลข 9 ภายในช่วงระยะเวลาที่ระบุ (ฉบับที่..) พ.ศ...(ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษ ในตอนเทศกาลปีใหม่ของปี พุทธศักราช2566)

กระทรวงพลังงาน เสนอการขยายช่วงเวลามาตรการบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซปิโตรเหลียมเหลว (LPG) โครงการยกระดับความ ช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซปิโตรเลียมเหลวแก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงมหาดไทยเสนอ มาตราการเร่งด่วนด้านพลังงานเพื่อบรรเทาผลพวงต่อประชากรขนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน สำหรับค่า ไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม ถึง เดือนธันวาคม 2565

กระทรวงการคลังเสนอการทบทวน มติคณะรัฐมนตรีเพื่อเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลทางการเงินแก่ ผู้ประกอบธุรกิจกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงแก้ไขใหม่) กระทรวงสาธารณะสุขเสนอขอความเห็นชอบแผนการดำเนินการ กรอบงบประมาณ การจัดงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น

เปิดแฟ้ม ครม.

กระทรวงพลังงาน เสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559

เพื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ยุติการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์

กระทรวงพัฒนาสังคม เสนอฯการจัดทำโครงการบ้านพักเจ้าหน้าที่รัฐ (บ้านหลวง) ของกระทรงพัฒนาสังคม และความมั่นคงและยั่งยืนของคนเรา ภายใต้ แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – พ.ศ.2579)

กระทรวงพัฒนาสังคมเสนอฯวาระแห่งชาติ เรื่อง การป้องกัน และจัดการกับปัญหาการข่มขืน และการล่วงละเมิดทางเพศ หน่วยงานเจ้าของเรื่อง รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ( พม.)

กระทรวงการเมืองนอกเสนอแผนการปฏิบัติตามข้อเสนอที่ไทยตอบรับ และคำสัญญาโดยสมัครใจภายใต้กลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 (พุทธศักราช2564 – 2568)

วาระเพื่อทราบที่น่าสนใจเช่น รายงาความคืบหน้าโครงการจัดสร้างพิพิธภัณฑสถานองค์ความเข้าใจเรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และหอพักประชุม อเนกประสงค์นานาชาติเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

สรุปผลการปฏิบัติการเรื่องร้องทุกข์ และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ประจำปีงบประมาณ พุทธศักราช2565 หน่วยงานเจ้าของเรื่อง รองนายกรัฐมนตรี ศอ.บต. เสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการที่มีความสำคัญในการรบด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.)

ปตท. เปิดแผนโรงงานแพลนท์เบส ลุยขนาด “เวิลด์สเกล” ยึดผู้นำภูมิภาค

ปตท. เร่งธุรกิจโปรตีนซึ่งได้มาจากพืช ตอกเสาเข็มโรงงานแพลนท์เบสใหญ่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก กำลังการผลิตปีละ 3 พันตัน เดินเครื่อง มิ.ย.66 เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า แล ะผู้ประกอบธุรกิจ ลงทุนนวัตกรรมอาหารขนาดใหญ่ เพิ่มราคาสินค้าเกษตร “อรรถพล” หวังเป็นผู้นำของภูมิภาค

ธุรกิจ Life science เป็นหนึ่งในธุรกิจใหม่ของกลุ่มปตท.ที่มีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตชาวไทย ตอบโจทย์ความคงทนด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งกลุ่มปตท.วางแผนลงทุนธุรกิจ Life science ไว้ 3 กลุ่มธุรกิจเป็น

1.Nutrition ได้ร่วมลงทุนพัฒนานวัตกรรมอาหาร โดยบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของปตท.ได้ร่วมทุนกับบริษัทโนฟ ฟู๊ดส์ ที่เป็นย่อยของบริษัทเอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ตั้งบริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด หรือ NRPT เพื่อลงทุนผลิตอาหารโปรตีนจากพืช

รวมทั้งลงทุนธุรกิจโภชนาการอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และร่วมทุนกับ Plant & Bean (UK) โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกในประเทศไทย

2.Pharmaceutical โดยร่วมลงทุนกับบริษัทผู้ผลิตยาสามัญชั้นนำจากไต้หวัน รวมถึงร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนานวัตกรรม “มณีแดง” ต้านเซลล์ชรา และลงทุนสร้างโรงงานผลิตยารักษามะเร็งในไทย

3.Medical Device & Technology โดยร่วมทุนกับ IRPC ตั้งโรงงานผลิตผ้าไม่ถักทอ (Non-woven Fabric) และลงทุนกับบริษัทนำวิวัฒน์ จำกัด ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์กลุ่มปราศจากเชื้อ

อรรถพล

ปตท. ลุยโรงงานขนาด “เวิลด์สเกล”

สำหรับความคืบหน้าปัจจุบันของธุรกิจ Nutrition ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม2565 โรงงานผลิตอาหารโปรตีนซึ่งได้มาจากพืชครบวงจร Plant & Bean (Thailand) ได้มีการเปิดหน้าดินเพื่อเริ่มก่อสร้างโรงงานเมื่อวันที่ 14 เดือนธันวาคม2565 ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีกำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี ซึ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ตัดสินผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เผยออกมาว่า การร่วมทุนตั้ง NRPT เพื่อลงทุนผลิตอาหารโปรตีนที่มาจากพืช ยอดเยี่ยมในกลยุทธ์ธุรกิจ Life science ที่ครอบคลุม 3 ธุรกิจ ทั้ง Nutrition, Pharmaceutical และ Medical Device & Technology และ ตอนนี้มีความคืบหน้าอีกทั้ง 3 กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Nutrition ที่เปิดหน้าดินเริ่มสร้างโรงงานแล้ว

“ปตท.ตั้งใจให้โรงงานแห่งนี้มีขนาด World scale เพราะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคยังไม่มีโรงงานที่มีกำลังการผลิตระดับนี้ และแนวโน้มความต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เรามั่นใจในการลงทุน และมั่นใจที่จะเป็นผู้นำของธุรกิจนี้ในภูมิภาค โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากอังกฤษที่มีเทคโนโลยีมาร่วมดำเนินงาน” นายอรรถพล กล่าว

ก่อสร้างเสร็จ กรกฎาคม2566

รายงานข่าวจาก ปตท.บอกว่า โรงงานดังกล่าวจะมีกำลังการผลิต 3,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมรองรับมาตรฐานฮาลาลและมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสากลจากสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร (The British Retail Consortium : BRC) โดยคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จภายในเดือน มิ.ย.2566 พร้อมวางจำหน่ายสินค้าเชิงการค้าในปีต่อไป

ในพิธีเปิดหน้าดินครั้งนี้มีผู้บริหารเข้าร่วม ตัวอย่างเช่น นายบุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างฐานราก บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด พร้อมนายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF และประธานกรรมการบริษัท โนฟ ฟู๊ดส์ จำกัด

ดังนี้ บริษัท NRPT เป็นการถือหุ้นร่วมกันระหว่างอินโนบิกและโนฟ ฟู้ดส์ ฝ่ายละ 50% โดยตั้งเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม2564 ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งเป็นอาหารสำหรับคนรักสุขภาพแห่งอนาคตที่จะเพิ่มความมั่นคงยั่งยืนทางอาหาร และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรไทย แล้วก็ลดภาวะโลกร้อนได้ โดยช่วงแรกได้จัดจำหน่ายอาหารโปรตีนจากพืชที่ร้านค้า “alt. Eatery” ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 51 และอีกส่วนจัดจำหน่ายในร้าน Texas Chicken

เพิ่มช่องทางให้ผู้ซื้อ

นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรม และ ธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด พูดว่า การพัฒนาสินค้าโปรตีนซึ่งได้มาจากพืชนับว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาในกลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อโภชนาการและโภชนเภสัช ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่อินโนบิกได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยความร่วมแรงร่วมใจในคราวนี้จะเป็นการนำเทคโนโลยีจากต่างแดนที่สามารถผลิตโปรตีนจากพืชให้มีเนื้อสัมผัส รสชาติ และรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงมาตั้งสายการผลิตที่เมืองไทย เพื่อเพิ่มช่องทางให้แก่ผู้บริโภคยุคใหม่ที่เอาใจใส่ในสุขภาพ ตลอดจนผู้ประกอบกิจการที่สนใจนำเสนอสินค้าใหม่ๆ

อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การผลิตของกินแห่งอนาคต (Food for Future) ของประเทศ คล้ายคลึงวิสัยทัศน์ใหม่ที่มุ่งขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคตของกลุ่ม ปตท. (Powering Life with Future Energy and Beyond) ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการสนับสนุน และ สนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศไทยสำหรับเพื่อการเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมด้านอาหารเพื่อสุขภาพของอาเซียนอีกด้วย

โปรตีนจากพืช

มีลูกค้า“เพลนท์เบส”ทั่วโลก

“ปีหน้ากำลังผลิตจะขึ้นมาที่ 3,000 ตันทันที เพราะเรามีลูกค้าทั่วโลก โรงงานนี้ทำวัตถุดิบเพื่อป้อนทั้งในประเทศและส่งออก ผลิต OEM ตัววัตถุดิบที่เป็นตัวเนื้อเทียม หมูเทียม ไส้กรอกเทียม จะมีรสชาติที่อร่อยเสมือนเราทานเนื้อจริงๆ ต่างจากการทานอาหารเจ โดยรับจ้างตามสูตรที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งข้อดีคือพาร์ทเนอร์มีการช่วยหาลูกค้าและลูกค้าหลายรายตอนนี้รอเพียงโรงงานเสร็จเท่านั้น”

อย่างไรก็ดี หากเที่ยบกับการบริโภคเนื้อสัตว์ก็ต้องปลูกพืชให้สัตว์กิน และสัตว์เล็กก็โดนสัตว์ใหญ่กินแปลงเป็นห่วงโซ่อาหาร แต่การที่เราบริโภคพืชโดยตรง จะลดการสูญเสียห่วงโซ่ของกิน นอกเหนือจากนี้ ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซปรากฏการณ์เรือนกระจกด้วย เนื่องจากสัตว์เมื่อกินพืชก็จะมีการปล่อยของเสียต่างๆออกมาจากดังเช่นว่า ผายลม หรือ เรอ เป็นต้น นำมาซึ่งการก่อให้เกิดเรื่องการยั่งยืน ช่วยทำให้ห่วงโซ่ของกินสั้นลง อีกจุดเด่น ผู้ซื้อก็จะมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น เพราะว่าพืชเป็นโปรตีนที่ไม่มีไขมัน จำนวนมากพืชจะไม่มีสารตกค้าง อย่าง แอนตี้ไบโอติก (Antibiotic) เป็นต้น

“พาร์ทเนอร์เรามีเทคโนโลยีในการดึงส่วนผสมเข้ามา ถือเป็นฟิวเจอร์ฟู้ดเทคโนโลยี อีกทั้งข้อดีตอนนี้ราคาโปรตีนจากพืชแข่งขันได้กับโปรตีนจากสัตว์ที่ค่อนข้างแพงกว่าพืช โดยเบื้องต้นโปรตีนที่ได้ คือ ถั่วเหลืองจากการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ต่อไปในอนาคตจะพยายามพัฒนาให้เป็นพืชที่สามารถปลูกและผลิตได้ในประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในประเทศไทย อาทิ ส่วนผสมจากถั่วเหลือง ข้าวโพด ที่เป็นพืชไร่ของประเทศไทยอันนี้จะต้องใช้นวัตกรรมมาเกี่ยวข้องด้วย”

ลงทุนพื้นฐาน 500-600 ล้านบาท

สำหรับงบลงทุนเบื้องต้นอยู่ที่หลัก 500-600 ล้านบาท โดยเดี๋ยวนี้ตัวโรงงานอาจจะจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และพัฒนาให้กับเทรนด์พลังงานสะอาดเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มีความทันสมัยเป็นโรงงานสีเขียว บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องเพิ่มในเรื่องของพลังงานจากโซลาร์ ซึ่งบางครั้งอาจจะจะต้องใช้งบลงทุนอีกก้อนหนึ่ง แต่สำคัญๆแล้วในโรงงานก็ควรจะมีมาตรฐาน เพราะว่าบริษัทฯ ได้วางแผนในเรื่องของการส่งออกด้วย

“กลุ่ม ปตท.มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ Life Science เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน โดยการมุ่งเน้นดำเนินการลงทุนใน ธุรกิจยา ธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ มีวิสัยทัศน์คือก้าวขึ้นเป็นบริษัท Life Science ชั้นนำในภูมิภาค ด้วยนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์อันเป็นเลิศ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี”

เปิดรายชื่อ 3 ผู้สมัครชิง เอ็มดี ทอท. จัดเตรียมสัมภาษณ์ 16 ม.ค.นี้

ทอท. ปิดรับสมัครผู้ตัดสินผู้อำนวยการใหญ่ เจอคนใน “กีรติ – ฉฎาณิศา” ขณะที่คนนอก “วิทยา” รองผู้ว่า รฟม.กระโดดเข้าร่วม กำหนดสัมภาษณ์พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ 16 มกราคมนี้

รายงานข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสรรหาที่มีนายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย ประธานกรรมการสรรหา ได้ออกประกาศเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อรับการคัดสรรเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่แทน นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ที่จะหมดวาระในเดือน เม.ย.2566 โดยมีระบุเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน – 23 เดือนธันวาคม2565

เบื้องต้นพบว่ามี บุคคลที่สนใจเข้ามายื่นเอกสารสำหรับสมัครจำนวน 3 คน ประกอบด้วย

1.นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้างทอท.

2.นางฉฎาณิศา ชำนาญเวช รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานท่าอากาศยานภูมิภาคทอท.

3.นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ ฝ่ายปฏิบัติการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ( รฟม.)

อย่างไรก็แล้วแต่ คณะกรรมการสรรหาฯ มีระบุจะใคร่ครวญคัดผู้สมัครที่มีคุณสมบัติและหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ตามประกาศรับสมัคร จากเอกสารสำหรับสมัครและหลักฐานประกอบการสมัคร และจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ ในวันที่ 11 ม.ค. 2566 หลังแล้วหลังจากนั้นมีระบุสัมภาษณ์และนำเสนอวิสัยทัศน์ ในวันที่ 16 มกราคม 2566 โดยการสัมภาษณ์ และ แสดงวิสัยทัศน์ จะต้องได้รับคะแนนรวมเฉลี่ยจากคณะกรรมการสรรหาฯ ไม่ต่ำลงยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 80 จึงจะถือว่าผ่านมาตรฐานการพินิจพิเคราะห์คัดเลือก และ คณะกรรมการสรรหาฯ จะเสนอรายชื่อต่อคณะกรรมการ (บอร์ด)ทอท.ใคร่ครวญต่อไป

เอ็มดี

ขณะที่ ข้อตกลงการจ้างงาน มีข้อกำหนด ประกอบด้วย

1.ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการใหญ่ทอท.จะมีวาระในการดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้าง คราวละไม่เกิน 4 ปี นับจากวันที่เริ่มดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้าง หรืออยู่ในวาระได้จนอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ แล้วแต่วาระใดจะถึงก่อน

ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจ้างแล้ว อาจได้รับการพิจารณาต่อสัญญาจ้างได้อีกแต่การต่อสัญญาจ้างจะกระทำได้อีกเพียงคราวเดียว และให้อยู่ในวาระได้ไม่เกิน 4 ปี หรือเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้วแต่วาระใดจะถึงก่อน

2.การจ้างตามสัญญาจ้าง ไม่อยู่ในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน

3.ในระหว่างการดำเนินการสรหา หรือภายหลังที่ผู้สมัครได้รับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ทอท.แล้ว หากปรากฎว่า ผู้สมัครขาดคุณสมบัติ หรือมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามที่ได้รับรองไว้ หรือมีข้อความเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้ทราบ คณะกรรมการสรรหาฯ อาจตัดสิทธิ์บุคคลดังกล่าวออกจากการสรรหา หรือทอท.อาจบอกเลิกสัญญาจ้างบุคคลดังกล่าว และอาจพิจารณาดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาต่อบุคคลดังกล่าวได้ และทอท.จะไม่รับผิดชอบค่าเสียหาย หรือค่าชดเชยใด ๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ผู้สมัครหรือผู้ได้รับการคัดเลือกจะต้องยอมรับผลตัดสินซึ่งให้ถือเป็นยุติเด็ดขาดของคณะกรรมการสรรหาฯ หรือคณะกรรมการทอท.แล้วแต่กรณี

ผู้สื่อข่าวกล่าวว่า นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ นับว่าเป็นผู้สมัครตังเต็งที่หลายฝ่ายจับตา เนื่องจากว่าเป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในช่วงที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยนายกีรติเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแบบเจาะจง เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2563 เนื่องจากว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในสายงานวิศวกรรม ซึ่งทอท.ยังขาดผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

โดยภายหลังเข้ามารับตำแหน่งดังกล่าว ได้สนองตอบนโยบายกระทรวงคมนาคม ส่งเสริมขยายขีดความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งโครงการขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก และตะวันตก รวมทั้งส่งเสริมให้มีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารทางด้านทิศเหนือ และ ขยายขีดความสามารถของ ท่าอากาศยานดอนเมือง ที่เพิ่งผ่านการพินิจเห็นดีเห็นงามจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ซึ่งจากการพิจารณาประวัติรูปแบบการทำงานของนายกีรติ พบว่ามีประสบการณ์ตรง เคยดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ จำกัด ซึ่งปฏิบัติงานเป็นบริษัทที่ปรึกษา โครงการเมกะโปรเจค หลายโครงการของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย อาทิ โครงการระบบตั๋วร่วม, โครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมเมืองจังหวัดบุรีรัมย์

รวมไปถึงโครงการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟ ช่วยเหลือเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยนายกีรติเป็นตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาโครงการตอนนั้น เสนอให้มีการเปลี่ยนปรับปรุงเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)

ทอท.

“ศักดิ์สยาม” ปั้นเองบิ๊ก ทอท. คนใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.ว่า จากที่ ทอท.ได้เปิดประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อรับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่คนใหม่ แทนนายนิตินัย ศิริสมรรถการ ที่จะครบกำหนดการจ้างตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในเดือน เม.ย.66 และมีกำหนดให้ยื่นเอกสารสำหรับสมัครตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง 13 เดือนธันวาคม65 นั้น

ล่าสุดพบว่า มีบุคคลที่พึงพอใจเข้ามายื่นเอกสารสำหรับสมัครจำนวน 3 คน ประกอบด้วย

1.นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
2.นางฉฎาณิศา ชำนาญเวช รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานท่าอากาศยานภูมิภาคทอท.
3.นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้างทอท.

โดยคณะกรรมการสรรหาจะคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติหลักฐานครบถ้วน และเปิดให้แสดงวิสัยทัศน์ ในวันที่ 11 ม.ค.66 และจะเสนอรายชื่อต่อบอร์ดทอท.พิจารณาต่อไป

ดังนี้ ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.จะมีวาระดำรงตำแหน่งตามสัญญาจ้างคราวละไม่เกิน 4 ปี หรืออยู่ได้จนถึงอายุไม่เกิน 60 ปี หรือต่ออายุได้ 1 วาระไม่เกิน 4 ปี หรืออายุไม่เกิน 60 ปี ผู้สื่อข่าวกล่าวว่า สำหรับผู้สมัครทั้ง 3 ราย คาดว่านายกีรติ กิจมานะวัฒน์ จะมีโอกาสได้รับการคัดเลือกมากที่สุด หากแม้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นรองผู้อำนวยการใหญ่เมื่อวันที่ 23 ก.ย.63 แต่ที่ผ่านมาปฏิบัติงานตอบสนองนโยบายกระทรวงคมนาคมอย่างดีเยี่ยม และเป็นที่รู้กันว่าได้รับการส่งเสริมจาก นาย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย.

ครม.ต่อสัญญา ไทยแทงค์ บริหารท่าเทียบเรือ อีก 30 ปี กนอ.รับผลตอบแทน 2 หมื่นล้าน

ครม.ต่อสัญญา ไทยแทงค์ บริหารท่าเทียบเรือ และคลังสินค้าเหลว มาบตาพุดต่ออีก 30 ปี หลังกรรมการเลือกสรรมีมติไม่เปิดประมูล กนอ.นัดเอกชนลงนามสัญญาวันศุกร์นี้ เปิดเผยผลตอบแทน ได้รับตลอด 30 ปีที่ 2.02 หมื่นล้าน หรือปีละ 676 ล้านบาท

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองผู้ประกาศประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยออกมาว่าที่ประชุมแผนกรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเห็นด้วยตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลของการเลือกสรรเอกชน และ เงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะ

เพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว (ร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ) เพื่อให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ กับเอกชน ผู้ผ่านการพิจารณาคำแนะนำร่วมลงทุนในโครงการนี้ต่อไป

ดังนี้ กนอ.มีการระบุพิธีการลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (บจก. สำหรับการต่อสัญญาสัมปทานการบริหารโครงการบริเวณท่าเรือมาบตาพุดต่อไปอีก 30 ปี ในวันศุกร์ที่ 9 เดือนธันวาคมนี้

‘ไทยแทงค์’บริหารคลังสินค้า

สำหรับเพื่อการต่อสัญญาให้ บจก.ไทยแทงค์ ฯ เป็นผู้รับสัมปทานในโครงการนี้ต่อไปอีก 30 ปี

นั้นเพราะเหตุว่าคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ได้มีมติ เห็นชอบในหลักการการร่วมลงทุน โครงการบริหารจัดการ ท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ของกนอ. ในรูปแบบการให้เอกชนบริหารจัดการ

โดยให้สิทธิสัมปทาน ระยะเวลาโครงการ 30 ปี หลังจากวันที่สิ้นสุดสัญญาในฐานะที่เป็นโครงการใหม่ ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พุทธศักราช 2556 ที่มีผลบังคับใช้ในเวลานั้น

ต่อมากระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเลือกสรรเอกชน ร่วมลงทุนโครงการบริหารจัดการ ท่าเทียบเรือสาธารณะ เพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ซึ่งเป็นการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พุทธศักราช 2562

โดยที่ในแนวทางการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ คณะกรรมการเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ มีความเห็นว่าไม่ควรใช้วิธีการเลือกสรร โดย วิธีประมูล

เพราะเหตุว่าหากมีเอกชนผู้ร่วมลงทุนรายใหม่เข้ามาดำเนินโครงการฯ แทนผู้รับสัมปทานรายเดิมจะมีผลให้การดำเนินโครงการฯ ขาดความเกี่ยวเนื่อง ส่งผลเสียต่อผลดีสาธารณะ และทำให้ภาครัฐ สูญเสียผลดีมากยิ่งกว่ากรณีให้เอกชนรายเดินปฏิบัติการต่อไป

โดยมีการคำนวณว่าหากมีเอกชนรายใหม่มาดำเนินการควรจะมีแนวทางการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างเดิม การประเมินผลพวงทางสิ่งแวดล้อมใหม่

ซึ่งอาจจะเป็นผลให้กิจการไม่สามารถที่จะปฏิบัติการได้เป็นระยะเวลาโดยประมาณ 5 ปี คิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจ และ ต่อประโยชน์สาธารณะ

คิดเป็นมูลค่าความเสื่อมโทรม 182,440 ล้านบาทต่อปี แต่หากเจรจา กับ ผู้ประกอบกิจการรายเดิมให้ปฏิบัติการตลอด จะเกิดผลดีทางเศรษฐกิจมากยิ่งกว่ากรณีที่มีรายใหม่เข้ามาบริหารงาน

คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ก็เลยได้ปฏิบัติการตามมาตรา 34 ที่พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พุทธศักราช 2562

ไทยแทงค์

โดยเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และ เอกชน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564

เพื่อให้ความเห็นชอบให้ใช้วิธีการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโดยไม่ใช้วิธีประมูล และได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ ครม.อนุมัติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 11 เดือนมกราคม 2565 ด้วย

ภายหลังจากที่ ครม.ได้มีมติดังกล่าวข้างต้น กนอ. และ คณะกรรมการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้ปฏิบัติการเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ จนสำเร็จแล้ว และ จัดทำร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว

โดย กนอ. และ คณะกรรมการเลือกสรรเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้นำข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 เดือนมกราคม 2565 มาใช้ประกอบการดำเนินงานด้วย ซึ่งรวมถึงการกำหนดเงื่อนไขที่สำคัญเอาไว้ภายในสัญญาร่วมลงทุนฯ

หลังจากนั้น กนอ. ได้ส่งร่างสัญญาร่วมทุนฯ ให้ที่ทำการอัยการสูงสุดตรวจไตร่ตรอง ซึ่ง กนอ. แจ้งว่า

กนอ. และคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้แก้ไขร่างสัญญาตามข้อคิดเห็นของที่ทำการอัยการสูงสุดด้วยแล้ว และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีความเห็นถูกใจต่อผลของการเลือกสรรเอกชน ร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ และ เงื่อนไขสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุนดังกล่าว

ดังนี้ กนอ. การันตีว่า สำหรับการสนทนาเงื่อนไขสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ กับเอกชนคู่สัญญา กนอ. และ คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ได้ปฏิบัติการตามกรอบของสาระสำคัญของโครงการฯ ที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนกำหนด

โดย กนอ. ประมาณการว่าจะได้รับผลตอบแทนจากค่าให้สิทธิการร่วมลงทุน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าธรรมเนียมสินค้าผ่านท่า ส่วนแบ่งรายได้จากการดำเนินโครงการฯ (ในอัตราไม่น้อยกว่า 5%) และ ค่าบริการสาธารณูปโภค รวมตลอดเวลาดำเนินโครงการ 30 ปี คิดเป็นมูลค่า 20,236.68 ล้านบาท หรือพอๆกับปีละ 676.26 ล้านบาท

สำหรับพื้นที่ของโครงการ – พื้นที่ของโครงการโดยประมาณ 182.1 ไร่ มีพื้นที่เก็บ ส่งจ่าย ทดสอบ ผสมเคมีภัณฑ์ จำพวกเหลว และ คลังเก็บสินค้า (I-30) 63 ตารางวา พื้นที่บริเวณคลังเก็บสินค้า

จุดถ่ายสินค้าเหลว แนววางท่อส่ง และ ท่าเทียบเรือขนถ่ายสินค้าเหลว (1-26) 1 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา พื้นที่รอบๆแนวท่อส่ง Pipe Bridge 1 งาน 77 ตารางวา

อาคารสิ่งปลูกสร้าง ประกอบด้วย

  • อาคารสำนักงาน มีพื้นที่ประมาณ 2,138 ตารางเมตร อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย 6 จุด มีพื้นที่ประมาณ 880 ตารางเมตร
  • อาคารซ่อมบำรุง อาคารเก็บวัสดุ และ อื่น ๆ มีพื้นที่ประมาณ1,698 ตารางเมตร
  • หลักยึดเรือ Mooring Dolphin 1 จุด มีพื้นที่ประมาณ 875 ตารางเมตร
  • หลักกันกระแทก Berthing Dolphin 14 จุด มีพื้นที่ประมาณ 971.16 ตารางเมตร
  • ลานหน้าท่า 5 จุด มีพื้นที่ประมาณ 2,396 ตารางเมตร
  • สะพานเหล็กสำหรับคนเดิน 25 จุด มีพื้นที่ประมาณ 588.1 ตารางเมตร
  • สะพานคอนกรีตเชื่อมต่อทางเข้าท่าเทียบเรือ 4 ท่า มีพื้นที่ประมาณ 4,563 ตารางเมตร
  • ถนนลาดยาง รับน้ำหนักมาตรฐาน มีพื้นที่ประมาณ 38,692 ตารางเมตร
  • เครื่องจักรอุปกรณ์ ประกอบด้วย ถังเก็บสารเคมีหลากชนิด (ถังกักเก็บสินค้าเหลว) จำนวน 102 ถัง และ ถังกักเก็บของเสีย จำนวน 5 ถัง

แรงเสียดทาน“สีจิ้นผิง” ชี้อนาคต เศรษฐกิจจีน

เสียงต่อต้านมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” สร้างความประหลาดใจให้กับสังคมโลก เศรษฐกิจจีน แม้ว่าจะไม่มีผลต่อรัฐบาลจีนในเป็นช่วงที่ “สี จิ้นผิง” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีจีนสมัยที่ 3 แต่ทำให้หลายฝ่ายจะต้องเหลียวกลับมามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในจีน รวมทั้งแนวทางเศรษฐกิจจีนหลังจากนี้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคบคุมโควิด-19

ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธาน และ เลขาธิการหอการค้าไทยในจีน พูดว่า รัฐบาลจีนปัจจุบันนี้ให้ความสำคัญด้านของสุขภาพของประชากรมากยิ่งกว่าเศรษฐกิจ ด้วยเหตุว่าปริมาณมวลชนในจีนเยอะมาก ซึ่งรัฐบาลจีนเห็นว่าเป็นความเสี่ยงในทีแรกๆยังคงใช้มาตรการคุมโควิด-19 ไม่แรง มีการฉีดซีนที่สร้างมาจากเชื้อตายมาฉีดให้ประชากร และ ใช้มาตรการซี่โรโควิด โดยทีแรกๆเศรษฐกิจเคลื่อนไปได้ และ ภาคการผลิตยังก้าวเดินต่อไปเจริญ โดยอัตราการการเติบโตด้านเศรษฐกิจรวม 2 ปีที่โควิดระบาด เฉลี่ยโต 5% นับว่าเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

ดังนี้ ปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีหลัง จีนประสบพบเจอกับปัญหาหลายเรื่อง ด้วยเหตุว่าสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปมากมาย จากปัญหาการศึกรัสเซีย และ ยูเครน วิกฤติพลังงาน วิกฤตอาหาร การขัดกันทางการเมือง ประกอบการการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศ ปัจจุบันนายสี จิ้น ผิง ก็ได้รับเลือกเป็นผู้นำเป็นสมัยที่ 3 และ ยังจะต้องรอนายหลี่เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีส่งไม้ต่อให้นายหลี่ เฉียงในเดือน มี.ค.ปีต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวมิติทางการเมืองจึงมีความสำคัญจำเป็นจะต้องควบคุมให้ได้ เพื่อให้การบ้านการเมืองผ่านไปเรียบร้อย ต่อจากนั้นก็จะเริ่มหันมามองดู เศรษฐกิจจีน

แรงเสียดทาน เศรษฐกิจจีน

แม้กระนั้นในช่วง 2 เดือนหลังปีนี้ จีนเจอการระบาดของโควิดรอบใหม่แพร่ระบาดอย่างเร็ว เศรษฐกิจจีน

แม้จีนจะใช้การตรวจแบบ RT-PCR แต่พบว่ามีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการมีสัดส่วนสูงมาก สถิติการติดเชื้อในจีนพุ่งสูงมากขึ้นโดยตลอดและกระจายตัวในหัวเมืองต่างๆซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจจีน ประกอบกับรัฐบาลท้องถิ่นที่รับแผนการซีโร่โควิดตามแผนการรัฐบาลกลางที่ช่วงหลังเริ่มบรรเทาลง แต่รัฐบาลท้องถิ่นกลับปฏิบัติงานตามแผนการเอาจริงเอาจังเกินขอบเขต อย่างเช่น กักตัว ล็อคดาวน์เมือง ซึ่งชาวจีนกำลังกล่าวกันว่าจะยอมอดตายเพราะเหตุว่าเศรษฐกิจหรือจะยอมตายเพราะเหตุว่าโควิด และ ช่วงหลังเชื้อโควิดไม่ร้ายแรง ถึงกับตาย ถ้าเกิดติดเชื้อก็รักษาตามอาการ

และก็ปัจจุบันก็มีการประท้วงของชาวจีนจากเหตุการณ์ไฟไหม้ร้ายแรงในเขต “ซินเจียง” ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ประกอบการมีกระแสข่าวการแทรกแซงของต่างชาติ เพราะเหตุว่าพบว่าชาวจีนในฮ่องกงมายุยงปลุกปั่นเพื่อให้สื่อตะวันตกนำไปตีข่าวในต่างชาติ ซึ่งการประท้วงไปไกลกว่าแต่มาตรการโควิด แต่เรียกร้องให้ “สี จิ้น ผิง” ลาออก ทำให้รัฐบาลจีนกลุ้มอกกลุ้มใจ และ คนที่ออกมาประท้วงส่วนมากก็เป็นนักศึกษา คนสมัยใหม่ ซึ่งกลัวว่าจะกลายเป็นเทียนอันเหมิน 2

สีจิ้นผิง

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ออกมาควบคุม ในหลายเมืองการชุมนุมแค่ 1-2 วัน และ จากการตรวจสอบล่าสุดการชุมนุมประท้วงเริ่มน้อยลง”

แต่การประท้วงไปโผล่ในยุโรป และ สหรัฐ สะท้อนว่ามีเครือข่ายเพื่อขยายผลการประท้วงในจีนทั้งเรื่องโควิด และ เป้าหมายที่รัฐบาลจีน

ทั้งนี้รัฐบาลจีนเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการโควิด ไม่ว่าจะเป็นการกักตัวตรวจเชื้อเป็นต้นซึ่งรัฐบาลจีนใช้เงินในเรื่องโควิดมากมายจนเกิดการเปรียบเทียบว่าใช้เหมือนการทำสงครามเช่นเดียวกับรัสเซียและยูเครน

สำหรับเศรษฐกิจของจีน เดิมตั้งเป้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว 5.5 % แต่ผ่านมา 3 ไตรมาสจีดีพีเหลือเพียง 3% และ เหลือเพียง 1 เดือน จีดีพีคงไม่เกิน 4% ทำให้คาดว่าปีนี้น่าจะอยู่ที่ 3%

ส่วนปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวมากยิ่งกว่า 6% เมื่อรวม 2 ปีเฉลี่ยจะขยายตัวราว 5% ซึ่งเป็นแนวทางตามแผนเศรษฐกิจที่จีนวางอยู่ตามสถานการณ์ในประเทศ แม้กระนั้นเมื่อจีนแปลงหรือส่งไม้ถัดไปยัง “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” การอัดมาตรการเศรษฐกิจหรือการฟื้นเศรษฐกิจจะออกมา เพราะเหตุว่าจีนตั้งมั่นอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ ที่สำคัญในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจีนจะยกเลิกมาตรการซีโร่โควิด หรืออย่างน้อยก็เปิดให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งยังใน และ นอกประเทศ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ

ขณะที่ภาคการผลิตของจีน ส่วนมากได้รับผลกระทบจากโควิด อย่างเช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วน iPhone ที่ระงับการผลิต และ อาจจะก่อให้การส่งมอบ iPhone ล่าช้า ซึ่งก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรการคุมโควิดของจีนจวบจนกระทั่งสถานการณ์จะคลี่คลาย แต่บางโรงงานก็เปลี่ยนแปลงการทำงานโดยให้มีคนงานดำเนินงานไม่เกิน 5% ของทั้งหมดที่เหลือดำเนินงานที่บ้าน

ขณะที่กิจกรรมทางด้านการตลาด อย่างเช่น การแสดงสินค้า Wedding ขอให้เลื่อนไปก่อนบางแห่งก็จะต้องยกเลิก ซึ่งทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก การบริการขนส่งไม่สบาย นำมาซึ่งการทำให้การใช้สอยทั้งห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้เกิดขึ้นในหลายเมืองใหญ่ อาจกระทบเศรษฐกิจภาพรวมที่อาจมากกว่าการล็อคดาวน์เซี่ยงไฮ้ และ เมืองใกล้กันในแถบปากแม่น้ำแยงซีเกียง

และก็ถ้าเกิดมองดูแง่การลงทุนแล้ว การลงทุนในจีนจะเติบโตอัตราต่ำลง ซึ่งไม่ใช่เพราะเหตุว่าเศรษฐกิจจีนแต่เป็นเพราะเหตุว่าภาคความพร้อมเพรียงของธุรกิจในต่างชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ด้วยเหตุดังกล่าวการขยายการลงทุนของเมืองนอกในจีนอาจเติบโตในอัตราที่ต่ำลง

นอกจากนี้ ในจีนจะมีธุรกิจบางส่วนอาจไม่พอใจหรือไม่สบายใจในการดำเนินมาตรการซีโร่โควิด ที่อาจถอนการลงทุนหรือโยกย้ายแผนการลงทุนที่เดิม โดยอาจกระจายไปประเทศอื่น เช่น เวียดนาม ไทย

“หากประชุม ครม.ในเดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้ทำให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือน เม.ย.-พ.ค.ได้จะเป็นอานิสงค์ต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะเข้ามา”

ส่วนการลงทุนเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้บวกกับการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทยที่ประสบความสำเร็จ โดย “สี จิ้นผิง” เดินทางมาร่วมประชุมก็มีส่งผลทางจิตวิทยาหรือส่งสัญญาณให้นักธุรกิจจีนออกมาลงทุนในประเทศพันธมิตรอย่างไทย ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับตลาดจีนมากขึ้น และ เชื่อว่าหลังจากโควิดหมดจะทำให้ความต้องการสินค้ามีมากขึ้น การท่องเที่ยวกลับมา และ ไทยจะได้รับประโยชน์

เจ้าสัวซีพี ลั่น ศก.ไทยปีหน้า ดียิ่งกว่าปีนี้แน่

แต่ขึ้นกับรัฐบาล เจ้าสัวซีพี กล่าวว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้นำต้องกล้าถึงพาไทยรอด เจ้าสัวธนินท์ ลั่น เศรษฐกิจไทยปีถัดไป ดีมากยิ่งกว่าปีนี้แน่ แต่จะมาก หรือ น้อยขึ้นกับแนวทางของรัฐบาล พร้อมเปิดเผยสเปกผู้นำที่จะพาชาติไปข้างหน้าได้ จะต้องเป็นคนกล้า กล้าทำ กล้าลงมือทำ

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ บอกว่า เศรษฐกิจไทยปีถัดไป ดีมากยิ่งกว่าปีนี้แน่ๆ โควิดได้เปลี่ยนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่จะดีแค่ไหน มาก หรือ น้อยขึ้นกับแนวทางของรัฐบาล ที่จะหาโอกาสสำหรับเพื่อการล่อใจทั่วทั้งโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

หลังจากนี้ทุกอย่างจะฟื้นตัวอย่างเร็ว เนื่องจากว่าอย่างน้อยสถานีรถไฟ สนามบิน ท่าเรือต่างๆมิได้ถูกทำลายเสมือนสงครามโลกครั้งที่สอง หากแม้ทั่วทั้งโลกเผชิญกับปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเมือง น้ำท่วม อากาศ แต่แปลงเป็นว่า มีประโยชน์กับประเทศไทย เนื่องจากว่าทั่วทั้งโลกหันกลับมาดูอาเซียน และ ไทย ที่เป็นศูนย์กลาง “โอกาสมาแล้ว แต่ก็อยู่ที่รัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นชุดเดิมหรือชุดใหม่ว่าจะช่วยทำอย่างไร ให้คว้าโอกาสตรงนี้ไว้ได้ ออกเงื่อนไขต่างๆ ดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน”

เจ้าสัวซีพี ระบบการศึกษา

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ เจ้าสัวซีพี กล่าว

ทั้งนี้ในหัวข้อที่ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการออกข้อแม้ล่อใจต่างชาติให้เข้ามาลงทุน โดยอนุญาตให้ซื้อที่ดินในประเทศไทยได้นั้น ประธานอาวุโส CP คิดว่า เป็นการสร้างคุณประโยชน์ เนื่องจากว่าต่างชาติเอาเงินมาลงทุน ซึ่งดีมากยิ่งกว่าการท่องเที่ยวที่มาแล้วกลับ ซึ่งเป็นการเดินทางระยะสั้น แต่นี่เป็นการมาลงทุน มาสร้างงาน สร้างเงิน เนื่องจากว่าอย่างไรก็ดีเขาซื้อและก็นำกลับไปบ้านเขาไปมิได้ เนื่องจากว่าซื้อที่ดินซื้อบ้านปักหลักอาศัย

นอกเหนือจากนั้นยังควรที่จะล่อใจกลุ่มสตาร์ทอัพจากทั่วทั้งโลกให้เข้ามาอยู่ที่ประเทศไทยด้วย โดยคิดว่ารัฐบาลควรที่จะปลดล็อก ผ่อนคลายกฎระเบียบปฏิบัติต่างๆให้เข้ามาง่ายขึ้น เนื่องจากว่าจะทำให้ประเทศไทยมีคนเก่งจากทั่วทั้งโลกมาอาศัยอยู่ มาใช้ชีวิตในเมืองไทย และสร้างงาน สร้างผลกำไรให้กับประเทศไทย ซึ่งการเข้ามานั้นมิได้เป็นการแย่งงานชาวไทย เนื่องจากว่างานต่างๆพวกนี้ประเทศไทยยังขาดคนที่เข้ามาช่วยทำด้วย ทั้งยังยังไปสู่สังคมคนชราอีก แต่ทุกอย่างก็ขึ้นกับรัฐบาล

ขณะที่ข้อแม้หรือกฎที่จะต้องบรรเทา เพื่อล่อใจ และ ให้โอกาสให้สตาร์ทอัพนั้น ประธานอาวุโส CP คิดว่า ที่จริงแล้วจะต้องดูถึงความต้องการของสตาร์ทอัพเป็นที่ตั้ง และ ดูว่าประเทศใดที่สตาร์ทอัพถูกใจไปอยู่ เรียนข้อแม้ว่าเขาทำยังไง ประเทศไทยก็ดึงมาใช่ และ เสริมให้ดีมากยิ่งกว่า เอามาเปลี่ยนแปลงทำความเข้าใจและ ต่อยอด

สำหรับบริบทกิจการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ประธานอาวุโส CP คิดว่า ประเทศไทยต้องคบกับทุกประเทศ ไม่ยุ่งเรื่องการเมือง แต่เน้นไปที่คุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด ซึ่งอเมริกาก็ยังเป็นผู้นำเศรษฐกิจของโลก แต่ตลาดที่ยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่จีน แต่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดก็ยังอยู่ที่สหรัฐอมเริกา รวมถึงเรื่องการเงินด้วย ดังนั้นควรมีการสร้างสมดุลให้ได้

ประเทศไทยถือว่ามีโอกาสอยู่มากมายสำหรับเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นกับแนวทางของรัฐบาล อย่างไรก็ดีธนินท์ กล่าวตบท้ายถึงคุณสมบัติของผู้นำที่จะพาประเทศคว้าโอกาสต่างๆทั้งยังทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม และ ความสัมพันธ์ระหว่างชาติว่า จะต้องกล้าทำ กล้าตัดสินใจ เนื่องจากว่าทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

“วันนี้จะให้คนเห็นพ้องกันทุกคนนั้นไม่มีทาง ต้องมีการมองต่างมุมกัน เราบังคับให้คนอื่นมองเหมือนเราไม่ได้ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าตรงนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อส่วนรวม และ ขอให้ทำเพื่อประชาชน ผู้นำบางคนกลัวถูกโจมตี กลัวเสียชื่อเสียง แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ก็ต้องกล้าทำ ต้องมาเปลี่ยนแปลง เราไม่เปลี่ยนแปลงตามโลกที่เปลี่ยน เรายังมัวแต่ชักช้าก็ ถูกทิ้ง ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อประชาชน สุดท้ายต้องเป็นคนที่กตัญญู เป็นคนดี และ รู้จักตอบแทนคุณแผ่นดิน” ธนินท์ กล่าวทิ้งท้าย

เจ้าสัวซีพี ผู้นำต้องกล้าถึงพาไทยรอด

‘เจ้าสัวธนินท์’ ชี้ประเทศจะรุ่งเรืองหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับ ‘การศึกษา’ พร้อมเผย 6 ค่านิยมผลักดัน CP สู่ความสำเร็จ

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ประเทศจะรุ่งเรืองหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับ ‘การศึกษา’ พร้อมเผยค่านิยม 6 ข้อที่ผลักดัน CP สู่ความสำเร็จ

วานนี้ (1 ธันวาคม) ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ‘Challenge & Opportunities for the New Chapter of Education’ ในงาน Forum for World Education 2022 โดยระบุว่า ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอยู่ที่การศึกษาและ การสร้างคน

“ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองได้ จะล้มเหลวได้ ก็เพราะการศึกษา ถ้าการศึกษาผิดพลาดถึงเป็นมหาอำนาจก็ล้มเหลวได้ หากการศึกษาถูกต้อง จากประเทศยากจนก็กลายเป็นมหาอำนาจได้ การศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” ธนินท์กล่าว

ทั้งนี้ การประชุมสัมมนา Forum for World Education 2022 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Shaping The Future of Education To Match Global Economic Trends โดยสภาเพื่อการศึกษาระดับนานาชาติ (FWE) ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ และ โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 เดือนธันวาคม 2565ในสถาบันผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยได้เชิญผู้นำด้านธุรกิจระดับนานาชาติที่ให้ความใส่ใจด้านการพัฒนาคน และ การศึกษา ร่วมประชุมพร้อมทั้งผู้นำด้านการศึกษาจากประเทศต่างๆกว่า 400 คน เพื่อระดมข้อคิดเห็นสำหรับเพื่อการออกแบบรูปแบบการศึกษาให้ตอบโจทย์อนาคต และ สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจในทุกประเทศทั่วทั้งโลก โดยตั้งเป้าหมายสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียน เตรียมตัวทรัพยากรมนุษย์ให้กล้าแกร่ง สร้างอนาคตเศรษฐกิจโลกยุค 5.0 ถัดไป

‘เจ้าสัว’ แนะบริษัทต่างๆสร้างผู้นำที่ทราบรอบด้าน

ธนินท์กล่าวอีกว่า การสร้างผู้นำในหน่วยงานปัจจุบันจะต้องสร้างเจ้าหน้าที่ที่ทราบรอบด้าน และ ทราบทุกเรื่องของบริษัทเปรียบได้ดั่งกับคำว่า ‘เถ้าแก่’ ในสมัยก่อน

โดยเผยออกมาว่า ก่อน CP จะตั้ง ‘สถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์’ ตนได้ไปดูงานมาแล้วหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Samsung, GE, Boeing พร้อมยกแบบอย่าง Jack Welch อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ GE ว่ารู้เรื่องระบบบริหารเจ้าหน้าที่เดิมของบริษัทอเมริกัน ที่จะแบ่งรูปร่างของบุคลากรแต่ละคนอย่างชัดเจน โดยบุคลากรแต่ละส่วนก็ไม่จำเป็นที่ต้องทราบเนื้องานของอีกส่วน ทำให้เมื่อผู้นำคนเก่าเกษียณไป ก็จะทำให้บริษัทขาด CEO

“Jack Welch ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปิโตรเคมี สุดท้ายได้ทำทุกอย่างทุกเรื่อง หลังพบว่าคนอื่นขายของไม่เป็น ไม่เข้าใจ เขาก็ต้องลงไปขาย ไปผลิต ไปทำทุกอย่าง ทั้งดูเรื่องกำไร ขาดทุน สร้างคน ทำให้เขารู้ว่าองค์กรที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่สร้างผู้นำที่รู้หลายๆ เรื่อง พอผู้นำคนเก่าเกษียณไปแล้วก็จะทำให้บริษัทขาด CEO ไป” ธนินท์กล่าว

ธนินท์กล่าวอีกว่า ระบบการต้องแบ่งงานดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากบริษัทกังวลว่า การสร้างผู้นำที่รู้ทุกเรื่องสุดท้ายจะถูกบริษัทอื่นซื้อตัวไป แต่ CP ไม่กลัว และ จะสอนคนทุกเรื่อง ตั้งแต่บัญชี กำไร ขาดทุน บุคคล การผลิต การประชาสัมพันธ์ จึงมีคนถามผมว่า สอนขนาดนี้ไม่กลัวเหรอว่าเขาจะออกไป ผมบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเขาไปแล้วมีอนาคตมากกว่าอยู่ที่ CP เท่ากับเราสร้างคนให้สังคม

KKP คาด เศรษฐกิจไทย ปี 65 ฟื้นช้าและไม่ทั่วถึง แม้ว่าจะได้ท่องเที่ยวหนุน

KKP คาด เศรษฐกิจไทย ปี 65 ฟื้นช้าและไม่ทั่วถึง หากแม้ท่องเที่ยวกลับมา จากการเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอย ปรับคาดการณ์เหลือ 2.8% แนะจับตา 5 การเสี่ยงสำคัญ

เศรษฐกิจโลกในปี 2023 มีความเสี่ยงไปสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น หลังจากเผชิญการเสี่ยงเงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น และการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างเร็วเพื่อชะลอเงินเฟ้อ KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมากเช่นกัน ทำให้ภาคการส่งออกบางครั้งอาจจะหดตัวลง

โดยคาดว่าในปี 2023 เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้เพียงแค่ 2.8% ปรับลดน้อยลงจาก 3.6% ในการคาดการณ์ครั้งก่อน และถือว่าเป็นการเติบโตที่ช้ากว่าปีนี้ แม้จะตั้งอยู่บนการคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็น 19.2 ล้านคนจาก 10 ล้านในปีที่ผ่านมา ทำให้ทราบภาพการฟื้นฟูสภาพในปีถัดไปว่าจะมีไม่เหมือนกันเป็นอย่างมากระหว่างภาคบริการ และภาคการผลิต

KKP คาดเศรษฐกิจไทยปี 65

5 ประเด็นความเสี่ยง เศรษฐกิจไทย ปี 2023 (โลกถดถอย-น้ำมันแพง-เงินเฟ้อค้าง-บาทอ่อน-ดอกเบี้ยสูง)

1. เศรษฐกิจไทยเติบโตได้หรือไม่ถ้าหากเศรษฐกิจโลกไปสู่ภาวะถดถอย

KKP ประเมินว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกในปีถัดไปจะกำลังไปสู่ภาวะถดถอยแบบไม่ร้ายแรงในตอนไตรมาส 1-3 ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกของไทยในปีถัดไปหดตัวลง 1.8% จากเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาต่างชาติสูง โดยยิ่งไปกว่านั้นจากสาเหตุ 2 ประการ คือ

– อุปสงค์ของโลกที่จะปรับตัวต่ำลง จากสมมติฐานว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งนับรวมกันกว่าครึ่งเดียวของเศรษฐกิจโลก จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในตอนต้นถึงกลางปีถัดไป

– การส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งขยายตัวไปอย่างมากในตอนที่ผ่านมาได้ทำให้มีการสะสมสินค้าในสต็อก (Inventory) เอาไว้ในจำนวนมาก จนถึงความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ในตอนหลังจากนี้จะหดตัวลง อีกทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจจะส่งผลให้อุปสงค์ของการท่องเที่ยวต่ำลงได้

ยิ่งกว่านั้น เศรษฐกิจไทย ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำ (downside risk) ด้วยเหตุว่าเศรษฐกิจโลกยังมีโอกาสถดถอยร้ายแรงได้ โดยการเสี่ยงที่จีนจะปิดเมืองนานกว่าที่คาดจากการระบาดรอบใหม่ของโควิดจะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม หากแม้ในกรณีเลวร้ายเศรษฐกิจไทยคงจะยังคงไม่โตติดลบด้วยเหตุว่าไทยยังมิได้ฟื้นจากโควิดมากนัก แต่ก็จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับที่ต่ำมากมายโดยมีโอกาสเติบโตต่ำยิ่งกว่า 2%

2. ราคาน้ำมันจะปรับตัวต่ำลงได้ใช่หรือไม่

ในปี 2023 ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะต่ำลงตามราคาน้ำมันที่บางทีอาจชะลอลงโดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกไปสู่ภาวะถดถอย KKP Research ประเมินว่ายังมีการเสี่ยงที่ราคาน้ำมันบางครั้งอาจจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้ ด้วยเหตุว่าราคาน้ำมันที่ต่ำลงในตอนที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่ามีสาเหตุจากการนำน้ำมันสำรองออกมาใช้

นอกเหนือจากนั้นการเปิดประเทศของจีนที่คาดการณ์ว่าจะทยอยเปิดประเทศมากขึ้นเรื่อยๆในตอนครึ่งหลังของปี 2023 กำลังจะเพิ่มอุปสงค์ต่อน้ำมันอย่างมากและสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อไทย และเงินเฟ้อบางทีอาจไม่สามารถปรับตัวต่ำลงได้เร็วอย่างที่คาดไว้ ซึ่งจะเป็นใจความสำคัญกดดันค่าครองชีพและดุลการค้าของไทยได้

3. เงินเฟ้อไทยจะปรับตัวต่ำลงได้เท่าใด

KKP Research ประเมินว่าเงินเฟ้อไทยในปี 2023 จะทยอยปรับตัวต่ำลงแต่ยังค้างอยู่ในระดับที่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือมากยิ่งกว่า 3% แต่เหตุการณ์เงินเฟ้อในปีถัดไปของไทยยังมีความไม่เที่ยงสูงและมีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่เป็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ การปรับค่าไฟฟ้า และการทดแทนการอุดหนุนน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ยังมีการเสี่ยงจาก เงินเฟ้อโลกที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง การเสี่ยงเงินบาทที่ยังคงมีโอกาสอ่อนค่า และราคาน้ำมันที่บางทีอาจปรับตัวสูงขึ้นได้

4. เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าและช่วยลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อหรือไม่

KKP Research ประเมินว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลได้นิดหน่อยในปี 2023 ที่ระดับ 2% ของ GDP หลังจากเสียดุลการค้าต่อเนื่องติดต่อกันกว่า 3 ไตรมาสในปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้ามามากขึ้น การต่ำลงของราคาน้ำมัน และการต่ำลงของเงินลงทุนค่าขนส่งผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทในปีถัดไปยังมีแนวโน้มผันผวน และมีการเสี่ยงที่จะยังคงมีทิศทางอ่อนค่าได้อยู่ จาก

– ดุลบัญชีเดินสะพัดที่โอกาสติดลบในตอนไตรมาส 2 ของปีถัดไป จากปัจจัยด้านฤดูทั้งการท่องเที่ยว และ กิจการค้า สร้างการเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment)

– การคาดการณ์ผลตอบแทนตลาดหุ้นต่างประเทศจะเริ่มปรับตัวในแนวทางที่ดีขึ้นหลังจากปัญหาเงินเฟ้อจบลง ทำให้เงินลงทุนบางทีอาจไหลออกจากไทยได้

– เหตุการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation เป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับต่างประเทศค้างอยู่ในระดับค่อนข้างสูง และกดดันค่าเงินบาทต่อเนื่อง

5. ถ้าโลกลดดอกเบี้ยปีถัดไป ไทยยังจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่

อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ มีความเสี่ยงที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นหากมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ และ ค่าเงินบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจในประเทศ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในแดนติดลบมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

KKP Research ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้าโดยเป็นการขึ้นต่อเนื่องครั้งละ 25bps จนถึงระดับ 2.25% ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า ซึ่งนับเป็นความท้าทายสำคัญในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่ดี และ หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงมาก

เศรษฐกิจไทยปี 65 ฟื้นตัวช้า

ทางสองแพร่ง – เงินเฟ้อค้าง หรือถดถอยรุนแรง

เศรษฐกิจโลกกำลังจะเจอกับปัญหาในสองทาง คือ หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแต่ไม่ถึงกับถดถอยรุนแรงโลกจะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะค้างในระดับสูงยาวนาน หรือหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน

เช่น เสถียรภาพในตลาดอสังหาฯ ปัญหาในตลาดเกิดใหม่ ปัญหาสภาพคล่อง ปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ในภาคธุรกิจ ก็จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงได้ทันที ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย

KKP Research ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงยังมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดที่ยังค้างอยู่ในระดับสูงกว่าปกติมาก และ หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายขึ้นจริงเครื่องมือนโยบายการเงินใหม่ๆ จะถูกนำกลับมาใช้เพื่อสนับสนุนตลาดได้ โดยธนาคารกลางมีแนวโน้มเลือกป้องกันความเสี่ยงในการเกิดวิกฤติหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มสูงที่จะอยู่ในภาวะ Stagflation มากกว่า

สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อไป นโยบายการเงินต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ และ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน เสถียรภาพระบบการเงิน อย่างรอบคอบเพื่อปิดความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจ และ ช่วยประคองให้เศรษฐกิจในปีหน้าสามารถฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพได้

เบื้องหลัง‘ทรู’พึ่งศาลฯห้าม AIS PLAYBOX ยิงสดบอลโลก-กสทช.สั่ง‘กกท.’โชว์สัญญาลิขสิทธิ์

เปิดเบื้องหลัง ‘กลุ่มทรู’ พึ่งศาลทรัพย์สินฯสั่งห้าม AIS PLAYBOX ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก เหตุ ‘กสทช.’ มีหนังสือแจ้ง ‘กกท.’ สั่งอนุญาตให้ IPTV ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกได้ พร้อมจี้เปิดสัญญาลิขสิทธิ์บอลโลก ‘ฟีฟ่า-เอกชนรายอื่น’

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง มีคำสั่งห้ามไม่ให้บริษัท ซุปเปอร์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (SBN) ผู้ให้บริการ AIS PLAYBOX แพร่เสียงและแพร่ภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (FIFA World Cup Final 2022) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศกาตาร์ อันเป็นการคุ้มครองป้องกันสิทธิของ ‘กลุ่มทรู’ ในฐานะผู้ได้รับสิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นั้น

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) แถลงการณ์ว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน2565 ที่ผ่านมา นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช.) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดที่ สทช. 2305/53355 แจ้งไปยังนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

โดยหนังสือฉบับนี้บอกว่า ที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 32/2565 เมื่อวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน2565 ได้พินิจแนวทางการดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วๆไป กรณีการถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (FIFA World Cup Final 2022)

โดยมีมติว่าตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วๆไปฯกำหนดให้ผู้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ที่ให้บริการแก่ผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก หรือผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง

มีหน้าที่จำเป็นจะต้องนำพาสัญญาณของรายการโทรทัศน์ของบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วๆไป ไปออกอากาศให้ผู้รับบริการของตนได้โดยตรงโดยตลอด รวมทั้งกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรทัศน์เป็นการทั่วๆไปจำเป็นจะต้องให้บริการโทรทัศน์ตามแผนผังรายการโดยมีรายละเอียดเดียวกันทุกหนทาง

ด้วยเหตุผลดังกล่าว การที่กลุ่มทรูแจ้งให้ผู้ให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เผยแพร่รายการของกิจการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วๆไป ไม่รวมทั้ง IPTV จึงเป็นการตรงข้ามประกาศฯ ข้อ 6 ที่ต้องการให้ออกอากาศผ่านทุกหนทาง

จึงเห็นดีเห็นชอบการแจ้งตอบแนวทางการปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วๆไป ดังต่อไปนี้

1.ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อ 6 ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป

2.ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ มีหน้าที่ต้องตรวจสอบ และควบคุมการออกอากาศการให้บริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไปให้ออกอากาศเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

3.ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และประกอบกิจการโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อ 4 ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป

ห้ามถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก

@สั่ง ‘กกท.’ โชว์สัญญา-ข้อตกลงลิขสิทธิ์บอลโลก ‘ฟีฟ่า-เอกชนรายอื่น’  AIS PLAYBOX

กสทช.ยังขอให้ กกท. แจกแจงรายละเอียดของสัญญาการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 ที่จัดทำกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) แล้วก็สัญญาหรือกติกาและข้อตกลงทางลิขสิทธิ์ที่จัดทำขึ้นกับเอกชนรายอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมด้วยขอให้ กกท.ทำงานให้มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกฯ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติและประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เกิดความเที่ยงธรรม เท่าเทียม และทั่วถึง

แล้วก็ให้เป็นไปตามจุดประสงค์ ข้อตกลง การส่งเสริมค่าใช้จ่ายสำหรับในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลโลกที่กำหนดไว้ในบันทึกกติกา (MOU) การรับเงินสนับสนุนอย่างเคร่งครัด

“ในการประชุมบอร์ด กสทช. เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเชิญ กกท. กลุ่มทรู และสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอลฯ เข้าชี้แจงข้อมูล ซึ่ง กกท.ชี้แจงต่อที่ประชุม โดยยืนยันการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 จะปฏิบัติตามกฎ must carry และ must have ของ กสทช. อย่างเคร่งครัด พร้อมกันนั้น กกท.ยอมรับว่าได้มอบลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฯให้กลุ่มทรูเพื่อแลกกับเงินสนับสนุนจำนวน 300 ล้านบาท

แบ่งเป็น 200 ล้านบาท สำหรับ terrestrial (การถ่ายทอดสดการแข่งขันบนระบบโทรทัศน์ภาคพื้นดิน) และ 100 ล้านบาท สำหรับ PAY TV (บริการโทรทัศน์ที่มีการบอกรับสมาชิก) แต่พอที่ประชุมฯสอบถามถึงสัญญากับกลุ่มทรูว่าเป็นอย่างไร ทาง กกท.บอกยังไม่เสร็จ และยืนยันการให้ว่าเป็นการให้สิทธิ์แบบ exclusive sub licensing (การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวจากผู้ได้ลิขสิทธิ์)” แหล่งข่าวจากสำนักงาน กสทช.กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา

AIS PLAYBOX

@’กสทช.’ยกคำร้องขอ ‘ทรู วิชั่นส์’ ขอถ่ายทอดสดบอลโลก 64 แมทช์ AIS PLAYBOX

เวลาเดียวกัน นาย ไตรรัตน์ ยังทำหนังสือด่วนที่สุดที่ กทช 2304/53396 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน2565 ถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือทรู

โดยมีรายละเอียดว่า ตามหนังสือที่ บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด ฟ้องร้องหวังที่จะขอจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพรได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วๆไป พุทธศักราช2555

เพื่อถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย (FIFA World Cup Final 2022) ครบอีกทั้ง 64 คู่ ผ่านโครงข่ายที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ในระบบดาวเทียม ระบบเคเบิลทีวี และระบบไอพีทีวี ทางช่องรายการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกช่องรายการ True Sport 2 และช่องรายการ True Sport 5

เพราะบริษัทในกลุ่มทรู ซึ่งมี บริษัท ทรู ดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ทรูโฟร์ยู สเตชั่น จำกัด ได้ร่วมให้การสนับสนุนค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด FIFA World Cup Final 2022 แก่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และ กกท. ได้มอบสิทธิการถ่ายทอดและสิทธิประโยชน์ด้านสื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่บริษัทในกลุ่มทรู ความละเอียดแจ้งแล้ว นั้น

โดยกำหนดให้มีการกระจายเสียงการถ่ายทอดสดการแข่งขันอีกทั้ง 64 คู่ ให้แก่ผู้รับอนุญาตหรือผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. และจำเป็นจะต้องทำงานตามกฎหมาย ประกาศ หลักเกณฑ์ที่ กสทช. กำหนด ซึ่งการที่ กกท. ได้ทำงานมอบสิทธิให้แก่โทรทัศน์ที่ให้บริการที่เป็นการทั่วๆไปแล้ว

จึงจัดว่า กกท. ซึ่งเป็นผู้รับสิทธิการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วๆไป พุทธศักราช2555 แล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าว ที่ประชุมจึงไม่พินิจคำขอร้องของบริษัทฯ

“จากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯในครั้งนี้ กลุ่มทรูขอชี้แจงว่าจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิในการรับชมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของประชาชนทั่วไป คนไทยยังคงสามารถรับชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายผ่านการให้บริการโทรทัศน์เป็นการทั่วไป (ฟรีทีวี) ได้ตามปกติ รวมทั้งยังสามารถรับชมการแข่งขันได้ทุกแมตช์ผ่านผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) ในระบบเคเบิ้ลทีวีและทีวีดาวเทียมที่ผ่านการเข้ารหัสสัญญาณตามมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว” เอกสารข่าวของกลุ่มทรูกำหนด

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูง จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และ ธนาคารไทยพาณิชย์

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ ต้อนรับคณะผู้บริหารขั้นสูง “จูเลียส แบร์ กลุ่ม” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ตอกย้ำความมุ่งมั่นสำหรับเพื่อการขยายกิจการบริหารความร่ำรวยขั้นสูงในประเทศไทย

บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง “ธนาคารไทยพาณิชย์” ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ และ “จูเลียส แบร์” (Julius Baer) ผู้นำธุรกิจบริหารความร่ำรวยชั้นนำระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดบ้านต้อนรับคณะผู้บริหารขั้นสูงจาก “จูเลียส แบร์ กรุ๊ป” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ในโอกาสเข้าร่วมประชุมบอร์ดบริหาร เพื่อหารือถึงแนวทาง และ กระบวนการดำเนินธุรกิจบริหารความร่ำรวยระดับที่ค่อนข้างสูงในประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นสำหรับเพื่อการช่วยต่อยอดความร่ำรวยด้านการเงินการลงทุนแบบไร้พรมแดนให้กับลูกค้าชาวไทยแบบครบวงจร เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเวลธ์แมเนจเม้นท์ (Wealth Management) ในกลุ่มลูกค้า UHNWIs และ HNWIs ของเมืองไทย

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของไทยโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง UHNWIs และ HNWIs ที่มีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านบาทขึ้นไปในประเทศไทย มีการเติบโตในอัตราที่สูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และ คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพ และ โอกาสทางธุรกิจ ซึ่งธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) นับเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญขององค์กรในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า

ขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูง

ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จะช่วยต่อยอด และ สร้างการเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า

“การประชุมบอร์ดบริหารร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูงจาก จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อหารือถึงทิศทางและ แนวทางการดำเนินธุรกิจในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย รวมถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ “ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์” ที่ยังคงสร้างการเติบโตท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่มีความรู้ความสามารถ มากด้วยประสบการณ์ และมีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความสามารถด้านการบริหารความมั่งคั่งที่ได้

มาตรฐานระดับโลกของจูเลียส แบร์ มาคอยให้คำแนะนำ และ ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าคนสำคัญเพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรายังคงมีการเติบโตทั้งในด้าน AUM จากการเพิ่มปริมาณการลงทุนของกลุ่มลูกค้า รวมถึงการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

ด้วยทีมผู้ที่มีความชำนาญด้านการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนที่มีความรู้และ มีความเข้าใจ มากด้วยประสบการณ์ และ มีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าผู้มีความร่ำรวยระดับที่ค่อนข้างสูงในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งความสามารถเกี่ยวกับด้านการจัดการความร่ำรวยที่ได้ มาตรฐานระดับโลกของจูเลียส แบร์ มาคอยให้คำแนะนำ และ ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าคนสำคัญเพื่อช่วยให้ลูกค้าในประเทศไทยให้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเรายังคงมีการเติบโตทั้งในด้าน AUM จากการเพิ่มจำนวนการลงทุนของกลุ่มลูกค้า รวมทั้งการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างตลอดอีกด้วย

ด้าน มร.ฟิลลิปป์ ริคเคนแบเคอร์ (Philipp Rickenbacher) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จูเลียส แบร์ กลุ่ม กล่าวว่า

“ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้กลับมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลังจากวิกฤตโควิด-19 เพื่อเข้าร่วมพบปะกับคณะผู้บริหารของไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์รวมถึงได้เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าคนสำคัญของเราอีกครั้ง โดย จูเลียส แบร์ มีความมุ่งมั่นอย่างสูงในการขยายตลาดธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชีย ซึ่งนับเป็นบ้านแห่งที่สองของเรา และ สำหรับประเทศไทยนั้นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เราให้ความสำคัญในการขยายขอบเขตการให้บริการ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการผู้เชี่ยวชาญ บริการ และ ความสามารถด้านการบริหารความมั่งคั่งระดับโลกมาเพิ่มคุณค่าให้แก่ลูกค้า”

Julius Baer

ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามีโอกาสอีกมากมายสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของพวกเขา และ ให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารจัดการความมั่งคั่ง นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์โดยเราตั้งตารอที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนสำคัญกลุ่มนี้ต่อไป” มร.จิมมี่ ลี (Jimmy Lee) ประธานประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ธนาคารจูเลียส แบร์ และ กรรมการบริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และ กรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์จำกัด ”

มร.จิมมี่ ลี ประธานประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ธนาคารจูเลียส แบร์ กรรมการบริหาร จูเลียส แบร์ กรุ๊ป และ กรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์จำกัด กล่าวว่า ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามีโอกาสอีกมากมายสำหรับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย

เพราะว่าลูกค้ามีความต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของพวกเขา และให้ความใส่ใจกับการวางแผนบริหารจัดการความร่ำรวย นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ โดยพวกเรารอคอยที่จะสานต่อความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มจุดมุ่งหมายคนสำคัญกลุ่มนี้ถัดไป.

MORE แจงประเด็นก.ล.ต.สอบถามความจริงข่าว-ขายหุ้น PP ให้“อมฤทธิ์”

MORE อธิบายประเด็น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ถามไถ่ประเด็นความเป็นจริง -ขายหุ้นเพิ่มทุนให้ “อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ” ผู้ถือหุ้นใหญ่ เผยได้พิจารณาอย่างรอบคอบ รัดกุม และยึดผลดีบริษัทและผู้ถือหุ้น ยืนยันจำเป็นจะต้องระดมเงินใช้สำหรับการจัดงาน Rolling Loud ตามที่ได้กำหนด

บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE อธิบายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งเมืองไทย (ตลท.) ว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการควบคุมหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ขอให้คณะกรรมการบริษัทอธิบายเรื่องจริงและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุในช่วงวันที่ 10 – 11 พ.ย. 2565 และประเด็นเกี่ยวกับการซื้อขายและการชำระราคาของผู้ซื้อขายหุ้นของบริษัทรวมทั้งความสมเหตุผลของแนวทางการทำรายกาคอยอกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (“เพิ่มทุน PP”) รายนายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปริมาณ 300 ล้านหุ้น ในราคาไม่ต่ำยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ 90 ของราคาตลาดถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก และวาระการขอผ่อนผันแนวทางการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ

โดยอาศัยมติที่ประชุมของผู้ถือหุ้น (“whitewash”) ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนรัดกุมแล้วหรือไม่ และได้นำประเด็นข้อสังเกตของ IFA ไปร่วมประกอบกิจการพิจารณาแล้วหรือไม่ อย่างไรตลอดจนขอให้อธิบายวิถีทางทำงานเพื่อรักษาสิทธิและผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นความแจ้งแล้วนั้นคณะกรรมการบริษัทฯ และคณะกรรมการตรวจสอบขอเรียนว่าสำหรับการพิจารณามีมติต่างๆคณะกรรมการบริษัทฯ และคณะกรรมการตรวจสอบได้มีการพิจารณาด้วยความละเอียดถี่ถ้วน รัดกุม โดยยึดถือคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากบริษัทฯและผู้ถือหุ้นเป็นที่ตั้งและในกรณีเหตุผลสำหรับการพิจารณาข้อคิดเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ(IFA) เพิ่มเติม ขออธิบายเหตุผลสำหรับการพิจารณา

สอบถามข้อเท็จจริงข่าว-ขายหุ้น

MORE ข้อคิดเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA)

1. เนื่องจากว่าราคาหุ้น MORE ที่มีความผันผวนตลอดมา การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนด้วยราคาตลาดอาจไม่เหมาะสมเหตุผลและที่มาของการกำหนดราคาขายด้วยราคาตลาด เนื่องจากว่าในวันที่คณะกรรมการมีมติแนวทางการทำรายการในคราวนี้ คือ วันที่ 11 สิงหาคม 2565 ช่วงเวลาดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว (ตั้งแต่ต้นเดือนเดือนกรกฎาคม-วันที่ประชุมคณะกรรมการ) ราคาหลักทรัพย์ของบริษัทฯ อยู่ในช่วงราคา 1.80-1.90 บาทต่อหุ้น และมีแนวโน้มราคาหลักทรัพย์ของบริษัทฯ จะสูงขึ้น

จากการที่มีข่าวสารเผยแพร่ว่าบริษัทฯ เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ และ จัดงาน Rolling Loud ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยราคาเฉลี่ย 7 วันย้อนหลังก่อนวันที่คณะกรรมการมีมตินั้น อยู่ที่ราคา 2.28 บาทต่อหุ้น คณะกรรมการก็เลยเห็นว่าการออกเสนอหุ้นเพิ่มทุนให้กับ นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในช่วงเวลาที่มีการเสนอข่าวสารจัดงาน Rolling Loud และราคาหลักทรัพย์ของบริษัทฯ กำลังสูงขึ้น ด้วยแนวทางระบุราคาเสนอขายชัดเจนก็เลยไม่เหมาะสม ด้วยเหตุดังกล่าวคณะกรรมการก็เลยมีมติเลือกกรรมวิธีการระบุราคาเสนอขายด้วยราคาตลาด โดยกำหนดราคาเสนอขายให้เป็นไปตามราคาตลาดในช่วงเสนอขาย

ทั้งนี้ จากเหตุวันที่10-11พ.ย. 2565 มีความผันผวนของราคาหุ้น คณะกรรมการได้พิจารณา และ ลงความคิดเห็นว่าสำหรับการระบุราคาที่จะเสนอขายให้นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ในแต่ละครั้ง ต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการและต้องเผยแพร่ผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์หัวข้อการระบุราคาดังที่กล่าวผ่านมาแล้วให้ผู้ถือหุ้นรับทราบอยู่แล้ว โดยคณะกรรมการบริษัทจะพิจารณาระบุราคาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ตลาดในช่วงที่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยนึกถึงคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ

อีกทั้ง ปริมาณเงินที่บริษัทจะได้รับจากการเพิ่มทุนจำต้องนำมาใช้ตามจุดหมาย และ แนวทางใช้เงินในโครงการจัดงาน Rolling Loud ซึ่ง นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ เป็นผู้นำทีมบริหารที่ต้องรับผิดชอบสำหรับการระดมเงินทุนเพื่อโครงการนั้นสำเร็จเป็นไปตามแผนที่บริษัทกำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุน ด้วยเหตุดังกล่าวสัดส่วนการเข้าลงทุนของบริษัทฯ และผู้ร่วมทุนสำหรับการจัดการแสดงดนตรีในคราวนี้ยังคงเดิม

ทั้งนี้ คณะกรรมการได้ถามไถ่และ พิจารณาถึงประเด็นข่าวสารที่เผยแพร่ว่า เพราะว่าบริษัทฯ ระบุราคาเสนอขายหุ้นให้นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ด้วยราคาตลาด ก็เลยมีเหตุในวันที่ 10-11 พ.ย. 2565 เพื่อทำราคาหุ้นให้ต่ำลงเพื่อที่นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ จะได้ใช้สิทธิเพิ่มทุนในราคาต่ำ และ ประเด็นต่างๆที่เกิดสังกัดเหตุในคราวนี้

นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ยืนยันว่าตัวเองยังถือหุ้นครบและไม่มีวิธีขายหุ้นออกมาหากแม้แต่หุ้นเดียวในช่วงที่ผ่านมา สำหรับการทำรายการซื้อ-ขายในวันดังที่กล่าวผ่านมาแล้วยังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งตัวเองได้เข้าอธิบายกับทางหน่วยงานภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ ได้พบกับผู้สื่อข่าวเพื่อสัมภาษณ์และตอบเรื่องซักถามต่างๆมั่นใจว่าภายหลังที่ทางบริษัทได้ให้ข้อมูล และ ตอบเรื่องซักถามในประเด็นต่างๆจะเรียกความมั่นใจของนักลงทุนขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

อมฤทธิ์

ประเด็นเรื่องระบุราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ตนด้วยราคาตลาด

ก็เลยเป็นที่มาของเหตุในวันที่ 10-11พ.ย. 2565 นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ ได้บอกว่า

จุดหมายของการเพิ่มทุนในคราวนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปทำโครงการจัดงาน Rolling Loud ตามแนวทางดำเนินโครงการที่วางไว้ ซึ่งเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุนเพียงปริมาณ 300 ล้านหุ้น แต่ในปัจจุบันนี้ตัวเองถือหุ้นของบริษัทฯ มากเป็นอันดับหนึ่งมีปริมาณมากกว่า 1,500 ล้านหุ้น หากราคาหุ้นน้อยลง 1 บาท จะใช้สิทธิซื้อหุ้นใหม่ได้ถูกลง 300 ล้านบาท

ในขณะที่ราคาของหุ้นที่ตนถืออยู่น้อยลงมากกว่า 1,500 ล้านบาท มีความสมเหตุผลอย่างไร อีกทั้งในวันเกิดเหตุสารสนเทศของบริษัทที่ต้องส่งให้ผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาแนวทางการทำรายการ ยังมีปรับปรุงจากทาง IFA และ สำนักงาน กลต. ยังไม่ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น ยังไม่ได้รับอนุมัติเลยด้วยซ้ำ และ ระยะเวลาการใช้สิทธิเพิ่มทุนคราวนี้หลังผ่านการอนุญาตยังมีระยะเวลาอีก 6 เดือน ตนจะก่อให้เกิดเหตุในเวลานี้เพราะอะไร เพื่ออะไร เหตุดังที่กล่าวผ่านมาแล้วไม่ได้เป็นผลดีกับตนเลยทั้งในฐานะผู้บริหารและในฐานะผู้ถือหุ้น